Thailand MonsoonSIM Content by P3Y Academy
MonsoonSIMTH
  • THAILAND MonsoonSIM
    • MonsoonSIM for Education >
      • ความเห็นของนักศึกษาที่ได้ใช้ MonsoonSIM
    • MonsoonSIM for Coporate Training
    • MonsoonSIM Users/Customers ในประเทศไทย
    • ข่าวสาร TH MonsoonSIM
    • TH Monsooner Library >
      • V10 Learner Guide >
        • Newly User Guide
        • Finance Measurement BI & Analytics Guide >
          • MSIM x Data Analytics >
            • Download
        • Sales and Marketing Guide
        • Management Guide
      • ชุดความรู้จาก MonsoonSIM >
        • MSIM DAILY WORD with COSCI SWU >
          • MSIMTH COSCI SWU Dailyword
      • V9 MSIM QuickGuide >
        • V9 USER MANUAL & Content
    • TH Facilitator Library >
      • Facilitator Quick Guide V9
      • CT Manual and Tools V9
      • CT Clips Manual V9 >
        • Basic Game setup, Tools and Tips
  • SPECIAL ACTIVITIES
    • COMPETITION >
      • TH Business Data Analytics & Data Visualization
      • TH ERM LEAGUE >
        • TH ERM LEAGUE 2021 >
          • Candidate THERML 2021
        • TH ERM LEAGUE 2020 >
          • English Presentation Clip
          • MSIM TH LEAGUE 2020
        • TH ERM Challenge 2019 >
          • Incubate Program 2019
          • ผลงานรอบ English Presentation Clip
          • การโต้วาที ใน Semi-Final
        • TH ERM Challenge 2018 >
          • Judges of TH ERM Challenge 2018
          • ผลงานรอบ English Presentation
          • ผลงานรอบนำเสนอ SME CASE
          • FAQ About TH ERM Challenge 2018
          • Download
        • TH ERM Challenge ๒๐๑๗ >
          • คำปรารภจากใจผู้จัดการแข่งขัน
          • ็Homework ใน TH ERM Challenge ๒๐๑๗
          • ผู้สนับสนุนการแข่งขัน
          • กรรมการรับเชิญของการแข่งขัน TH ERM Challenge ๒๐๑๗
        • TH ERM Challenge 2016 >
          • ประสบการณ์ของ TH Monsooner รุ่น 1
      • MERMC >
        • MERMC 2022
        • MERMC 2020
        • MERMC 2019
        • MERMC 2018
        • MERMC 2017 >
          • Competition Quick Information
          • Judges of MERPC
          • Update News about MERPC 2017
        • MERMC 2016
    • MonsoonSIM Freshman >
      • MSIM Freshman 2021
      • MSIM Freshman 2020
    • Donation Workshop >
      • Donation Workshop 2023
      • Donation Workshop 2021 >
        • Q4 2021 Donation Workshop
        • Q3 2021 Donation Workshop
        • Q2 2021 Donation Workshop
        • Q1 2021 Donation Workshop
      • Donation Workshop 2020 >
        • Q4 2020 Donation Workshop
        • Q3 2020 Donation Workshop
        • Q2 2020 Donation Workshop
        • Q1 2020 Donation Workshop
    • MSIM TH SEMINAR >
      • 2023 Education Transformation in Business Data Analytics
      • 2020 K-Practice
      • 2016 Series
      • 2017 Series >
        • Related Topic to Seminar Theme
        • Summay and Download
      • League of TH Education Transfornation >
        • Round Table for TH Education Transformation
        • Clip to Lecturer
    • MSIM CONFERENCE >
      • MSIM CONFERENCE 2019
      • MSIM CONFERENCE 2020
  • Sharing Index
    • MSIM Thailand Podcast & short Clips
    • BLOG
    • Article by MonsoonSIM TH
  • Contact us
  • Brother Page P3Y Academy

6 เหตุผลจาก Jack Welch อดีต CEO ของ GE; General Electric ที่บอกว่า MonsoonSIM เป็นเครื่องมือที่ดี ในการให้การอบรมในองค์ก

2/28/2022

0 Comments

 
สามารถอ่าน Article ต้นฉบับในภาษาอังกฤษได้ที่ : http://www.monsoonsim.com/guide.html?stage=NEWS_DETAIL&id=905024​
Picture
"องค์กรที่มีสมาชิกในองค์กร และมีวัฒนธรรมในการเรียนรู้ และเปลี่ยนการเรียนรู้เป็นกิจกรรมทางธุรกิจได้ คือสุดยอดแห่งการสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขัน" Jack Welch, Former CEO of General Electric

ข้อสังเกตุของการอบรมในองค์กร
     การอบรมในองค์กรเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการอบรมบุคลากร (พนักงาน หรือลูกจ้าง; ท่านที่เรียกสรรพนามแตกต่างกันไป สะท้อนมุมมองต่อรูปแบบการบริหารจัดการองค์กร; เพิ่มโดยผู้แปล) ท่ามกลางการใช้วิธีการและกิจกรรมที่หลากหลายเพื่อให้ความรู้แก่บุคลลากรเหล่านั้น ซึ่งโดยมาก "เชื่อว่า" การอบรมเป็นต้วเร่งความสำเร็จให้กับบุคคลากร และเขาเหล่านั้นจะสร้างความเติบโต สำเร็จ มั่งคั่งให้กับองค์กร (ผู้แปล; แนวคิดแบบนี้เป็นวิธีคิดขององค์กรขนาดใหญ่ ซึ่งแตกต่างจากองค์กรขนาดกลางและขนาดเล็ก ซึ่งอดีตผู้บริหารองค์กรยักษ์ใหญ่อย่าง GE; General Electric ได้ความเห็นไว้)
นอกเหนือไปจากความพยายามในการพัฒนารูปแบบวิธีการ เครื่องมือ และเทคโนโลยีในการสื่อสาร, การสร้างการทำงานเป็นทีม และ เพิ่มทักษะในการแก้ปัญหาให้กับบุคลากรแล้ว การอบรมภายในองค์กรยังเป็นการสร้างโอกาสในการเรียนรู้เพื่อปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงในโลกธุรกิจ (ผู้แปล; หากเลือกวิชา หลักสูตร หรือทักษะที่ถูกต้องตามปัญหาขององค์กร โดยมา HR เลือกหลักสูตรโดยเน้นความใหม่ และเข้ากับกระแสนิยมในปัจจุบัน ซึ่งอาจไม่ตรงกับปัญหาขององค์กร)
นอกเหนือไปจากเหตุผลนานาประการข้างต้น การอบรมในองค์กรยังช่วยให้ภาพของวิสัยทัศน์ และพันธกิจขององค์กรเดินทางไปยังเป้าหมายได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
การสร้างการอบรมอย่างเนื่องในองค์กรเป็นเรื่องสำคัญที่สร้าง "จุดแข็ง" เพิ่มทักษะ และพัฒนาศักยภาพของบุคลากร ซึ่งควรต้องถูกตั้งคำถามว่า การอบรมเหล่านั้นเกิดมีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิผลตามสิ่งที่เชื่อกันหรือไม่

การอบรมในองค์กรโดยใช้ MonsoonSIM
     นับตั้งแต่ปี 2013 (2556) นับตั้งแต่ที่ MonsoonSIM ได้รับรางวัลชนะเลิศในการเป็น Cloud-Based Business Simulation and Gamification Education Platform ซึ่งนำเทคโนโลยีมาประสานกับการศึกษา โดยสร้างกระบวนการเรียนรู้ (ประกอบกับวิธีการเรียนการสอนที่แตกต่างไปจากเดิม; เพิ่มเติมโดยผู้แปล) MonsoonSIM มีข้อได้เปรียบที่ช่วยในการพัฒนาแนวคิดของนักประกอบการ (ทั้ง Entreoreneurs และ Intrapreneurs; Coporate Entrepreneurs) โดยการเชื่อมโยงประสบการณ์จาก Simulation (ความรู้ในหลากหลายสาขาวิชา; เพิ่มโดยผู้แปล) และทำให้เห็นภาพกว้างผ่านการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ประจักษ์
MonsoonSIM เป็น Platform ที่มีความแตกต่าง สร้างประสบการณ์ให้กับผู้เรียน ทั้งนี้ยังมีคุณลักษณะพิเศษต่าง ๆ เช่น ผู้ช่วยเรียนช่วยสอนที่ใช้ AI (แบบ Ruled based AI; MonsoonSIM Boz), Data Analytics, การผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่าง Simulation และ กรรมวิธีเรียนรู้ด้วยกระบวนเกม; Gamification) ซึ่งลำเลียงความเข้าใจ สร้างประสบการณ์ นำไปสู่ความรู้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้รับการออกแบบมาอย่างเหมาะสม ที่จะถูกใช้ในการอบรมขององค์กร ซึ่งมีจุดเด่น 6 ด้าน ที่ Jack Welch ได้ให้คำอธิบายไว้ ดังนี้

1) Real-World Business Experience
     ความสามารถในการถ่ายทอดประสบการณ์ในการทำธุรกิจ คือความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่าง MonsoonSIM กับวิธี และโปรแกรมการอบรมทั่วไป ซึ่งไม่ได้ให้มุมมอง หรือใช้กระบวนการเช่นที่ MonsoonSIM ใช้
วิธีที่ MonsoonSIM ใช้ คือ การสร้างความเช้าใจใน Business Concepts ทีละน้อย อย่างประสานกันในหลาย ๆ ด้าน หลาย ๆ หน้าที่ และนำเอาประสบการณ์เหล่านั้นไปปรับใช้ในการทำงาน บุคลากรที่ผ่านการอบรมด้วย MonsoonSIM สามารถเชื่อมโยง "ช่องว่าง" ที่การอบรมแบบเดิมไม่สามารถให้ได้ในระยะเวลาอันจำกัด (เพิ่มเติมโดยผู้แปล) ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือ สิ่งที่องค์กรมองหาจากการลงทุนด้านการอบรม

2) Increased Knowledge Retention
     MonsoonSIM สร้างการเรียนรู้แบบต่อเนื่อง และเชื่อมโยง โดยบุคลากรจะสามารถเชื่อมโยงโลกของ Simulation ไปยังบทบาทหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายในแต่ละวัน โดบทราบถึงกิจกรรม และความรับผิดชอบ (แบบทั้งทางตรง และความรับผิดชอบจากกระบวนการทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องกัน; เพิ่มเติมโดยผู้แปล) บุคลากรมีความเข้าใจถึงบทบาทของตน งานและความรับผิดชอบ และผลกระทบต่อองค์กร ซึ่งสร้างความตระหนักรู้ได้มากกว่าการอบรมทั่วไป

3) Availability of Feedback and Improvement
     เป้าหมายหลักของการอบรมใด ๆ ในองค์กร คือ การสร้างกระบวนการพัฒนาในระยะยาว ด้วยการเพิ่มศักยภาพให้กับบุคลากรในองค์กร กิจกรรม และปัญหาทางธุรกิจใน MonsoonSIM สร้างข้อมูลที่เป็นผลจากการตัดสินใจที่แตกต่าง ซึ่งทำให้การวิเคราะห์ข้อมูลเป็นเรื่องสำคัญ ทั้งนี้ยังมี Live Access Data ซึ่งนำข้อมูลต่างๆ ส่งออกมาเพื่อให้ประมวลผลแบบ Real Time ได้ด้วย ข้อมูลเหล่านี้ ช่วยสร้างการตรวจสอบ วิคราะห์ และยังเห็นความก้าวหน้าจากการอบรมได้ชัดเจนด้วย นอกจากนี้ พฤติกรรมระหว่างการใช้ MonsoonSIM Game ยังแสดงถึงอัตลักษณ์ ซึ่งมีผลต่อความเข้าใจ และการตัดสินใจทางธุรกิจอีกด้วย

4) Encouraging Teamwork and Collaboration
     MonsoonSIM สร้างการเรียนรู้แบบ Horizental (ซึ่งแตกต่างจากรูปแบบการศึกษา และโครงการขององค์กรส่วนมากที่เป็น Verital; Silo เนื่องจากการตัดสินใจต่อปัญหาใด ๆ ต้องเชื่อมโยงข้อมูลและเชื่อมโยงหลากหลายส่วนงานเข้าด้วยกัน; เพิ่มเติมโดยผู้แปล) โมเดลการเรียนรู้แบบนี้ สร้างความเข้าใจในเชิงลึกของการทำงานร่วมกันระหว่างแผนกต่าง ๆ และความเกี่ยวข้องกันในผลลัพท์ทั้งดีร้ายขององค์กร การอบรมใช้รูปแบบของกลุ่มคน และ MonsoonSIM จะเป็นตัว "สร้างทีม" ทีมีการแลกเปลี่ยน ตัดสินใจ แก้ปัญหาร่วมกันเพื่อไปยังเป้าหมายขององค์กร

5) The Limitation of Risks and Uncertainties
     ตัวแปรสำคัญประการหนึ่งที่องค์กรต้องเผชิญกับการจัดการอบรมในองค์กร คือ ความสามารถในการพัฒนากระบวนการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพ ซึ่งการอบรมทั่วไปนั้นไม่ได้มีตัวแปรเกี่ยวกับความเสี่ยงและผลกระทบที่ชัดเจนในการอบรม ทว่าการอบรมด้วย MonsoonSIM Simulation นั้น ได้สร้างสิ่งที่องค์กรทั่วไปใฝ่หาในการอบรม ซึ่งมิอาจจะเกิดขึ้นจริงได้ นั่นคือ ตัวแปรที่หลากหลายที่สร้างให้ "ความเสียง" ชัดเจนบนโลกเสมือน และบุคลากรได้ตัดสินใจแก้ปัญหา เพื่อในท้ายที่สุดนั้น จะนำเอากระบวนวิธีการมาป้องกันความเสี่ยงในโลกธุรกิจจริง

6) Multiple Users at One Corporate Training
     ข้อจำกัดที่องค์กรต้องเผชิญอยู่อย่างสม่ำเสมอ คือ ข้อจำกัดในเชิงจำนวนในการเข้าร่วมการอบรม ซึ่งจะต้องใช้เวลา และทรัพยากรมากมาย ซึ่งแลกมาด้วย ผลลัพท์ที่จะได้ บางเรื่อง บางทักษะ เท่านั้น ทว่าการใช้ MonsoonSIM ในการอบรมนั้น สามารถรองรับจำนวนขอลบุคคลากรได้จำนวนมาก พร้อมด้วยชุดของความรู้และทักษะที่หลากหลายในครั้งเดียว และ MonsoonSIM ก็ยังสามารถที่จะปรับเปลี่ยนรูปแบบ และ Tailor-made ประสบการณ์ ซึ่ง Facilitator จะให้คำแนะนำแก่องค์กรของคุณอย่างดี (ผู้แปล)

     โดยสรุป MonsoonSIM เป็นโซลูชั่นที่ดีกับการอบรมในองค์กร MonsoonSIM ไม่ได้เป็นเพรียง Simulation และ Gamification สำหรับโลกการศึกษาเท่านัะ้น ทว่าด้วยชุดความรู้ ความเข้าใจระหว่างหน่วยต่าง ๆ ในเกม รวามไปถึงความหลากหลายของโมดูล และรูปแบบของ Confiurations ที่สร้างสถานการณ์ที่แตกต่างกันไป เป็นสิ่งที่เป็นจุดเด่น ซึ่งแนวคิดเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในรูปของตำรา หรือทฤษฎีในหนังสือ ทว่า อยู่ในรูปแบบของประสบการณ์ที่จับต้องได้ ซึ่งใกล้เคียงกับโลกธุรกิจจริง ยังรวมไปถึงการสร้างแนวคิดของนักประกอบการ ผ่านบุคลากรที่เข้าในการอบรม ซึ่งตรงกับสิ่งที่เป็นหลักการของ MonsoonSIM ที่ว่า More to learn, Easier to learn

​----------
ท่านที่สนใจให้ MonsoonSIM เป็นเครื่องมือในการอบรมตามที่ Jack Welch อดีต CEO ของ General Electric ได้เขียนบทความไว้ สามารถติดต่อมาได้ที่ FB: MonsoonSIM Thailand หรือ monsoonsimthailand.com เรามีตัวอย่าง และรูปแบบหลากหลายสำหรับเป็นทางการเลือกที่ดีที่สุดให้กับการอบรมในองค์กรของท่าน
0 Comments

การใช้ MonsoonSIM ในการสร้างประสบการณ์ให้กับนักศึกษาด้านบัญชี

12/16/2021

0 Comments

 
สรุปใจความสำคัญ: Christine Contesstto, Edwin KiaYang Lim และ Harsh Suri จาก Department of Accounting, Deakin Business School, Deakin University ได้นำเสนอบทความทางวิชาการ (ซึ่่งท่านสามารถ download ได้จาก Link ด้านล่างนี้) ในงาน ASCILITE 2021 ซึ่งจัดโดยองค์กรเพื่อส่งเสริมการใช้ นวตกรรมในการเรียนการสอนของประเทศออสเตรเลีย ทั้งสามท่านได้นำเอา MonsoonSIM เป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการทำวิจัย และนำมาเสนอในที่ประชุม ในชั้นเรียน 11 สัปดาห์ โดยใช้วิธีการหลายหลามาผสมผสานกันอย่างเป็นกระบวนการ และใช้ MonsoonSIM เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องมือและเกิดประสิทธิผลในการเรียนรู้ ผ่านบทความที่ชื่อว่า Design hybrid and Online capstone experiences for accounting students. ซึ่งบทความนี้นำเสนอในปี 2021 ทว่าอาจารย์ทั้ง 3 ท่านได้ทดลองในกระบวนการนี้ตั้งแต่ปี 2017 และได้เก็บข้อมูลรวบรวมมาจนเป็นบทความนี้ 

หมายเหตุ: บทความนี้เป็นบทความแปลบางส่วนและสรุปใจความสำคัญ และประสานความเห็นของ Facilitator และผู้แปล (โดย ปรมินทร์ เยาว์ยืนยง, MonsoonSIM Thailand)
ผู้แปลไม่ใช่นักภาษาศาสตร์ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษา โปรดศึกษาและอ่านต้นฉบับประกอบเป็นสำคัญ 
ascilite-2021-proceedings-contessott-lim-suri.pdf
File Size: 678 kb
File Type: pdf
Download File

เอกสารนี้เป็นเอกสารที่เผยแพร่ในงาน ASCILITE 2021 ACSILITE คือ องค์กรด้านการศึกษาเรื่องการใช้คอมพิวเตอร์ในการเรียนรู้ในบริบทของการศึกษาของประเทศออสเตรเลีย ซึ่งมีวิสัยทัศน์ในการผลักดันให้ใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มศักยภาพในการเรียนรู้ โดยมีสมาชิกเป็นคณาจารย์ และผู้ทรงคุณวุฒิในด้านการศึกษามารวมตัวกันเพื่อพัฒนาแนวคิด และแนวปฏิบัติในการเรียนและการสอนผ่านหลักสูตรต่างๆ โดยมุ่งเน้นให้ใช้เทคโนโลยีเป็นพื้นฐานในการพัฒนาการเรียนการสอน เป็นแหล่งรวบรวมงานวิจัยเกี่ยวกับนวตกรรมที่ใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยให้เกิดประสิทธิผลทางการศึกษา (สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ website https://ascilite.org/)

Picture
Picture
https://sites.google.com/site/qim501eiddmockingjay/announcements
ผู้ร่วมเขียนบทความทั้งสาม ได้บอกวัตถุประสงค์ว่าต้องการที่จะแบ่งปันข้อมูลจากประสบการณ์ที่ได้ผสมผสานการเรียนการสอนในรูปแบบ Hybrid และ Online Class เพื่อให้เห็นปัจจัยร่วมที่สำคัญที่สร้างให้เกิดการพัฒนา Professional Skills และสร้าง Identity (ตัวตนของผู้เรียน) ในโมเดลของ scaffolded development ในชั้นเรียน 11 สัปดาห์ ซึ่งผสมผสาน Experiential Leaning, Assessment Activity เข้ากับ Enterprise Resources Planning Business Simulation (MonsoonSIM; โดยผู้แปล) ควบรวมกับ Employability Skills Training และกรณีศึกษาต่าง ๆ เข้าด้วยดีน  ซึ่งได้รับการประเมินในเกณฑ์สูงมากจากผู้เรียนว่าเกิดความเข้าใจได้เป็นอย่างดี
Picture
Capstone เป็นคำที่ใช้แทนชุดวิชา หรือกลุ่มวิชาในช่วง Senior หรือปีท้าย ๆ ของมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ ในไทยอาจใกล้เคียง "วิชาสัมมนา" ซึ่งคัดลอกแนวคิดมาจากการศึกษาของอเมริกันซึ่งใช้คำว่า "Senior Seminar" หรือ ในภาคของการศึกษาอังกฤษ ใช้คำว่า "Final Year Projects" ; ความหมายสรุปโดยผู้แปลจาก https://en.wikipedia.org/wiki/Capstone_course

​ทางอาจารย์แจ้งว่า ในวิชา 11 สัปดาห์นี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของ Capstone Unit ซึ่งกำหนดไว้เพื่อเชื่อมโยงความรู้ และเตรียมนักศึกษาให้มีความพร้อมในการทำงานในอนาคต (กล่าวคือ สร้างประสบการณ์ และเพิ่มประสบการณ์ให้กับนักศึกษา เพื่อให้ convert ความรู้ที่เรียนมาเพื่อเตรียม "ประยุกต์" ไปใช้งานได้เมื่อเจอสถานการณ์จริง โดยมากวิชากลุ่มสัมมนานี้ มักจะเป็นวิชาท้าย ๆ ของปีสุดท้าย ในประเทศไทยมักอยู่หลังจากการไปฝีกงาน หรือการไปสหกิจแล้ว)  โดยการพัฒนาวิชา Capstone นี้ รัฐบาลให้ความใส่ใจและเป็นเรื่องที่ให้ความสำคัญในกระบวนการศึกษา (ซึ่งแตกต่างจากประเทศไทย) เพื่อให้นักศึกษาของออสเตรเลียมรความพร้อมในโลกที่มีซับซ้อนมากกว่าในการเรียนในรั้วมหาวิทยาลัย และทำให้นักศึกษาเกิดการพัฒนาทักษะเพื่อการำงานอย่างมืออาชีพได้ต่อไป ทั้งสามท่านใช้กระบวนการของ Scaffolding ในการสร้างเสริมทักษะด้วยกระบวนที่หลากหลายและออกแบบมาอย่างดีใน 11 สัปดาห์
Picture
Capstone Unit รุ่นปัจจุบัน (2021) ของ Deakin Business School เริ่มพัฒนาในช่วงต้นปี 2016 โดยเริ่มต้นจากการสัมภาษณ์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในว่าที่บัณฑิต อาทิ Recruiter, ลูกจ้าง, ตัวแทนด้านวิชาชีพบัญชร รวมไปถึงศิษย์เก่าที่เกี่ยวข้องเพื่อที่จะเข้าใจความต้องการ และความคาดหวังในทักษะที่เป็นที่ต้องการในฐานะนักบัญชี, ที่ปรึกษาด้านบัญชีมืออาชีพ ซึ่งพบว่า ทักษะที่เป็นที่ต้องการและต้องใช้งานได้อย่างดี ได้แก่ ความสามารถในการสื่อสาร, การทำงานร่วมกับผู้อื่นแบบทีม, ความสามารถในการคิด วิเคราะห์ปัญหาที่มีความซับซ้อน และหาทางแก้ไขได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งพบว่าทักษะเหล่านี้ขาดแคลนจากการสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นข้อมูลตั้งต้นในกว่าเริ่มกระบวนการวางแผนปรับและสร้าง Capstone Unit ด้วยข้อมูลและสมมติฐานนี้
Picture
เมื่อได้รับข้อมูลรวมไปถึง feedback ต่าง ๆ จากผู้เกี่ยวข้องทำให้กระบวนการต่อมา คือการวางแผนออกแบบหลักสูตรโดยมีหลักสองประการ ดังนี้
  • ช่วยให้นักศึกษามีความเข้าใจในบทบาทหน้าที่ของนักบัญชีในบริบทของโลกธุรกิจในปัจจุบัน ซึ่งนักบัญชีจะต้องเข้าใจและวิเคราะห์ข้อมูลที่หลากหลายแตกต่างไปจากโลกธุรกิจเดิม
  • ช่วยให้นักศึกษาเกิดมีทักษะที่พร้อมต่อการได้รับการจ้างงาน และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ (ทักษะในที่นี้ ในเชิงของการศึกษาให้เข้าใจว่า ครอบคลุมทั้ง Hard Skills หรือชุดความรู้ และ Soft Skills ทักษะที่ใช้ประกอบกันในการทำงาน; เพิ่มเติมและอธิบายโดยผู้แปล)
​การออกแบบ Capstone Unit นี้ มีจุดมุ่งหมายที่จะให้นักศึกษาได้ประมวลความรู้ เพิ่มศักยภาพ (และมีประสบการณ์) มากขึ้นในระยะเวลา 11 สัปดาห์  โดยเพิ่ม input จากผู้เชียวชาญ, ใส่หัวข้อที่น่าสนใจ, ประสบการณ์จากมืออาชีพทั้งในสาขาบัญชีโดยตรงและสาขาอื่น ๆ ภายใต้การหารือและการแนะนำจากกรรมการวิชาชีพด้านบัญชี
Picture
องค์ประกอบทั้ง 4 แบะ โครงสร้างของ Accounting Capstone ของหลักสูตร Bachelor of Commerce, Deakin Business School
Capstone Unit ที่พัฒนาขึ้น มีองค์ประกอบ 4 องค์ประกอบที่ร้อยเรียงเป็นโครงสร้าง ซึ่งมี 4 องค์ประกอบดังนี้ 
  1. เชื่อมโยงทฤษฎีสู่การปฏิบัติ Linking Theory to Practice ในสามสัปดาห์แรก
  2. สร้างประสบการณ์ด้วย Simulation Experience; Enterprise Resources Plaining Business Simulation (;MonsoonSIM) ในสัปดาห์ที่ 4-6 
  3. การเตรียมการในความพร้อมด้านอาชีพ และเน้นทักษะประสบการณ์ Career Prepareness and Employment Skills สัปดาหฺ์ที่ 7
  4. กรณีศึกษา Case Study ในสัปดาห์ที่ 8-11
Picture
เชื่อมโยงทฤษฎีสู่การปฏิบัติ Linking Theory to Practice ในสามสัปดาห์แรก
       องค์ประกอบแรก คือ การเชื่อมโยงเพื่อจัดการช่องว่างระหว่างทฤษฎี และการปฎิบัติ (ช่องว่างที่เป็นปัญหาของการจัดการศึกษาที่สำคัญ) โดยนำเอาทฤษฎีและความรู้ต่าง ๆ ในด้านบัญชี มาเป็นฐานในการเชื่อมโยง ซึ่งได้ใช้นวตกรรมในการเรียนรู้ ผสานกับการสืบต้นสาเหตุในกิจกรรมที่บัญชีมีความเกี่ยวข้องโดยอาศัยกระบวนการ PBL; Problem Based Learning ซึ่งให้นักศึกษา "สวมบทบาท" ที่แตกต่างกันในกระบวนการทางธุรกิจ เพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้ (ซึ่งใช้ Framework FIRDE ของ Stanley and Marsden จาก QUT; Queenland University of Technology ที่ตีพิมพ์ไว้ในปี 2012 เป็น Framework) (ดูผลงานของ Stanley and Marsden ได้ที่นี่)  FIRDE คือ 
  • Forensic case(สืบสวนจากหลักฐาน; รากศัพท์มาจาก การสืบสวนทางนิติเวช; ในที่นี้คือ ร่องรอยปละหลักฐานซึ่งเป็นที่มาของการบันทึกบัญชี)
  • Identify questionable accounting treatment; ระบุคำถามที่เป็นไปได้เพื่อหาเหตุจากกระบวนการบันทึกบัญชี 
  • Research applicable accounting standards and principles ให้ค้นคว้าเชื่อมโยงกับมาตรฐานทางบัญชี และหลักการทางบัญชี
  • Make a collaborative Evaluation and Decision รวบรวมสมมุติฐาน และระบุหลักฐานที่ค้นคว้าอย่างชัดเจน
  • Execute ดำเนินการตามกระบวนการสอบสวนและยืนยัน ด้วยการสื่อสาร, หรือกำหนดการตัดสินใจจากมาตรฐานบัญชีที่ค้นคว้าได้ และหาทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
        ในปี 2012 นั้น Stanlet and Marsden ได้ทำการวิจัยว่า การเรียนการสอนด้วย PBL นั้น มีความจำเป็นในสาขาวิชาของบัญชีอย่างไร โดยทำการวิจัยกับนักศึกษาทางบัญชีในระดับปริญาตรีชั้นปีสุดกท้ายของ QUT; Queensland University of Technology โดยสำรวจจากตัวอย่าง 481 ตัวอย่าง โดยมีการสรุปว่า การใช้ PBL กับวิชาบัญชี เกิดประสิทธิผลในการพัฒนาทักษะการวิเคราะห์ปัญหาจากการตั้งคำถาม การทำงานเป็นทีม และการแก้ปัญหา (เพิ่มเติมรายละเอียดโดยผู้แปล) 
         เมื่อปฏิบัติตาม Framwork แล้ว นักศึกษาจะได้รับประสบการณ์ และเชื่อมโยงทฤษฎีไปสู่การปฏิบัติ โดยต้องประสานกับมุมมองด้านธุรกิจในมุมมองอื่นๆ เช่น สมดุลด้านการเงิน, จริยธรรมด้านวิชาชีพ ซึ่งนักศึกษาศึกษากิจกรรมเหล่านี้จากรายงานทางธุรกิจและก่อให้เกิดความเข้าใจที่มากขึ้น โดยให้น้ำหนักในการประเมินใน Capstone Unit นี้ 20% จากคะแนนทั้งหมด 
      ความเห็นจากผู้แปล การใช้ Framework นี้ ทำให้นักศึกษามีการคิดเป็นกระบวนการ เข้าใจสถานกา่รณ์ เชื่อมโยงกับทฤษฎีได้ดี ซึ่งนักศึกษาจะได้ผนวกแนวคิดนี้กับองค์ประกอบอื่นๆ อีก 3 องค์ประกอบรวมกันต่อไป  ซึ่งทำให้นักศึกษาประติดประต่อจิ๊กซอว์ความรนู้ กับจิ๊กซอว์ของการปฏิบัติตามมาตรฐานทางบัญชี เข้าใจเหตุผล และที่มาของมาตรฐานทางบัญชีที่ถูกกำหนดไว้ว่ามีประโยชน์อย่างไร
Picture
องค์ประกอบที่สอง คือ ประสบการณ์จาก Software Simulation ซึ่งในที่นี้ Deakin Business School ได้เลือกใช้ MonsoonSIM ซึ่งในบทความระบุว่าเป็น Enterprise Resources Planning Business Simulation ชื่อว่า MonsoonSIM เป็นเครื่องมือ และนำมาใช้ใน Capstone Unit ที่พัฒนามาตั้งแต่ปี 2016 และปรับใช้เรื่องมาจนเป็นบทความเชิงวิชาการนี้ในปี 2021  ซึ่งอธิบายไว้ว่า 
     นักศึกษาทดลองประกอบการจาก MonsoonSIM Simulation ซึ่งสร้างสภาพแวดล้อมด้านการเรียนรู้ และเชื่อมโยงความเข้าใจ เพื่อพัฒนา Professional Skill หรือทักษะที่มืออาชีพพึงมีเช่น การสื่อสาร, การแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน และการทำงานร่วมกันเป็นทึม ในระหว่างประสบการณ์จาก Simulation ซึ่งต้องแลกเปลี่ยนข้อมูล ความเห็นซึ่งเป็นโอกาสให้ได้ฝึกฝน (ซึ่งในการเรียนการสอนแบบเดิม ๆ นั้นไม่สามารถทำได้ และต้องมะโนเอาเอง; ผู้แปล)  โดย MonsoonSIM Environment สร้างการทำงานร่วมกันเป็นทีม โดยผสานเอาความรู้ด้านการบัญชี และความรู้ในการทำธุรกิจมารวมกัน ผ่าน 14 โมดูลใน MonsoonSIM (เช่น การเงิน, การตลาด, การจัดการคลังสินค้า, การจัดซื้อ เป็นต้น) ซึ่งสร้างให้การเรียนรู้แบบ Scaffold เกิดขึ้นได้จากบริบทที่ถูกออกแบบมาโดย Simulation และความซับซ้อนจากหลายตัวแปลในการตัดสินใจ ซึ่งจะแตกต่างกันออกไปในรูปแบบ,ข้อจำกัด และจำนวนโมดูล (ซึ่งสะท้อนความสั้นยาวของ Supply Chain และความซับซ้อนในกระบวนการทางธุรกิจ; ผู้แปล) ในแต่ละสัปดาห์ที่เปลี่ยนไป นักศึกษาจะได้พัฒนาทักษะในการบริหารจัดการที่สายวิชาบัญชีต้องไปเกี่ยวข้องในการทำงานจริง และมีข้อมูลต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสบการณ์ให้กับนักศึกษาและเชื่อมโยงกับทฤษฎีต่าง ๆ ที่เรียนมา ซึ่ง MonsoonSIM Simulation นั้นทำให้นักศึกษาเรียนรู้จากการทดลองทำ (ผิดและถูกเพื่อเข้าใจบริบทในการตัดสินใจ การวัดผลประกอบกัน; ผู้แปล) ซึ่งเต็มไปด้วย VUCA; Volatility (ตวามฝันผวน), Uncertainty (ความไม่แน่นอน), Complexity (ความซับซ้อน) และ Ambuhuity (ความฉงนคลุมเครือ) บทความส่วนนี้มากจากบทความทางวิชาการของ Leong and Ma 2019 ซึ่งท่านอ่านประกอบได้ที่นี่; Using Experiential Learning Theory to Improve Teaching and Learning in Higher Education) 
Picture
https://www.changeandstrategy.com/leading-in-a-post-brexit-vuca-world/
Picture
และที่ Kolb,1984 กล่าวไว้ใน Experiential Learning: Experience As The Source Of Learning And Development​ ว่า Simulation ช่่วยสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ประจักษ์(;ผู้แปล) ซึ่งทีมผู้เขียนบทความให้การสนับสนุนในสาระดังกล่าว ว่าสถานการณ์จาก Simulation ช่วยส่งเสริมให้เกิดความเข้าใจถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับบัญชี และควบรวมไปถึงการสร้างแนวคิดที่ซับซ้อนจากหลายตัวแปรเพื่อประกอบการตัดสินใจได้เป็นอย่างดี ทั้งในส่วนที่เป็น Reflective Observation และ Abstract Concept ซึ่งสามารถประยุกต์ไปใช้กับหน้าที่ในอนาคตได้ (Active Experimental)
​        หนึ่งในข้อดีของ MonsoonSIM Simulation  คือ นักศึกษาจะได้ทำกิจการค้าโดยขายสินค้าชนิดเดียวกันและต้องแข่งขันกับคู่แข่งอื่นๆ (ซึ่งก็คือทีมนักศึกษาอื่น ๆ ในชั้นเรียนเดียวกัน หรือลูกจ้างในการอบรม)  ซึ่งจะต้องทั้งร่วมมือ และแข่งขันไปในเวลาเดียวกัน  โดยนักศึกษาเรียนรู้ที่จะประสานความร่วมมือ เจรจาต่อรองกับสมาชิกในทีมเพื่อจัดการทรัพยากร และเรียนรู้กระบวนการทำงานระหว่างกัน (Cross Functional) เพื่อนำไปสู่ชัยชนะของทีม ในบางช่วงเวลาาระหว่างที่ Simulation หยุด (เพื่อให้คิด วิเคราะห์ ปรับแผน หรือพัก) ผู้สอนจะนำเสนอข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบโดยใช้ข้อมูลตัวเลขและกราฟต่าง ๆ ใน Simulation ซึงเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้คิดคำนึงถึงการตัดสินใจของตนและทีม และรับรู้ถึงผลทั้งเชิงลบและบวกที่เกิดขึ้นจากการตัดสินใจในสภาพการณ์นั้น ๆ เข้าใจถึงหลักของสาเหตุ และผลลัพท์ ความเหมือนและความแตกต่างระหว่างทีมของตนและคู่แข่ง (Milohnic & Licul,2018 Entrepreneurial management and education: Experiences in the application of business simulations. Informatologia) และช่วยกระตุ้น ส่งเสริม ทีมให้ดำเนินธุรกิจให้ดีที่สุด และที่สำคัญไปกว่านั้น คือ MonsoonSIM Simulation สามารถวร้างการวัดผลได้ในแต่ละสัปดาห์ โดยมีตัวชีั้วัดที่ควบคุมทั้งตัวชี้วัดด้านการเงิน และตัวชี้วัดอื่น ๆ (เช่น คุณภาพในการบริหารจัดการในเรื่องต่างๆ) ซึ่งสร้างแรงจูงใจให้กับนักศึกษาอย่างครอบคลุมเนื้อหาและประสบการณ์, การสร้างสมดุลในการทำงานระหว่างกัน และสร้างการตัดสินใจบนการทำงานที่เปลี่ยนแปลงได้เป็นอย่างดี
Picture
ทีมผู้เขียนได้สรุปองค์ประกอบที่ 2 ว่า การใช้ MonsoonSIM Simulation นี้ กระตุ้นให้นักศึกษาได้รับการพัฒนาทักษะที่จำเป็น เช่น การสื่อสาร, การทำงานเป็นทีม, การปรับเปลี่ยน ปรับใช้ความรู้และกิจกรรมตามสถานการณ์ และการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนและคาบเดี่ยวกับ (ในหลายส่วนงาน) ซึ่งสะท้อนความใกล้เคียงความเป็นจริง ซึ่งได้ช่วยส่งเสรมิความเข้าใจและความคาดหวังในการทำงานในองค์กร และการปรับเปลี่ยนที่เกิดขึ้นที่จะต้องประสบพบเจอในการทำงานจริงในอนาคต (Schwering,2015 Optimizing learning in project-based capstone courses. Academy of Educational _Leadership Journal, 19, 90-104) ทีมผู้เขียนและทีมผู้สอนได้ได้ออกแบบกระบวนการเพื่อให้นักศึกษาได้แสดงออกถึงแนวคิดเชิงกลยุทธ์, กระบวนการตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลทางด้านบัญชีมาอธิบายถึงคุณภาพและและผลกระทบจากการบริหารงานในทางธุรกิจ โดยการนำเสนอแบบมืออาชีพ, การนำเสนอปากเปล่าเพื่ออธิบายแนวคิด และกลยุทธ์ รวมไปถึงผลลัพท์ที่เกิดขึ้นต่อกลยุทธ์และกระบวนการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องซึ่งสร้างผลลัพท์ที่แตกต่างออกไป ซึ่งน้ำหนักในส่วนนี้ให้เป็นสัดส่วน 30% ของคะแนนทั้งหมดใน Capstone Unit นี้
Picture
maa310_deakin_university_monsoonsim.pdf
File Size: 773 kb
File Type: pdf
Download File

ตัวอย่างการวางแผนในวิชา MAA310 Accounting and Society  โดย Dr.Edwin Lim 
ซึ่่งท่านจะเห็นแผนการผสมผสาน MonsoonSIM ในสัปดาห์ที่ 3-7 ของวิชานี้ ซึ่งวิชานี้เป็นส่วนหนึ่งของ Deakin Business School 

ภาคเสริมจากบทความ: Dr.Edwin Lim หนึ่งในทีมผู้พัฒนา Capstone Unit ซึ่งเป็นที่มาของบทความนี้ ได้เคยนำเสนอในช่วงปี 2017 ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนา Capstone โดยเชือว่า Edwin Lim ได้ใช้วิชา MAA310 Accounting and Society ซึ่งในวิชานี้ใช้เวลา 4 สัปดาห์กับประสบการณ์ผ่าน MonsoonSIM Simulation ซึ่งนำมาเพื่อเป็น Reference แก่ท่านผู้อ่าน เพื่อความเข้าใจที่เพิ่มสูงขึ้น และเชื่อว่า ผลจาก MAA310 นี้เอง ที่ Edwin Lim และทีมนำไปพัฒนา Capstone Unit ของ Bachelor of Commerce และเป็นที่มาของบทความนี้ซึ่งเผยแพร่ในปี 2021 ที่ ASCILITE 2021
Picture
องค์ประกอบที่ 3 ของ Capstone Unit คือ Career Prepareness and Employment Skills (สัปดาห์ที่ 7) มุ่งเน้นที่การเตรียมความพร้อมในการสมัครงาน และทักษะจำเป็นที่ใช้ในการสัมภาษณ์งาน ซึ่งเป็นช่องว่างที่ห่าง ยาว และดูยากที่นักศึกษาต้องเผชิญในชีวิตจริง  การเตรียมความพร้อมและให้โอกาสในการเตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมข้อมูล และมีประสบการณ์เหล่านี้ควรเสริมสร้างให้เกิดขึ้นในหลักสูตรทุกชั้นปีและในทุกระดับของการศึกษา เพื่อช่วยให้นักศึกษามีความพร้อมมากขึ้นและโอกาสในการรับเลือกเข้าทำงานมากขึ้น (Thirunavularasu wt al, 2020  และ Jackson & Tomlinson,2020)  ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้ทีมผู้พัฒนาหลักสูตรได้รวบรวมเอาผู้ออกแบบการเรียนจากทั่วทั้งมหาวิทยาลัยมาร่วมในการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ โดยจำลอง Interactive Seminar ให้กับนักศึกษาได้ผ่านประสบการณ์ในการสัมภาษณ์ และเทคนิคในการนำเสนอ โดยออกแบบคำถามที่จะใช้ในการสัมภาษณ์ เพื่อสร้างให้นักศึกษาได้เตรียมตัว โดยนำเสนอตัวเองในฐานะ Personal Brand และได้แสดงออกซึ่งความสามารถและความถนัดของตนตามหลัก STAR Framework (Situationm, Task, Action, Result) ซึ่งนักศึกษาได้เข้าร่วมใน Online Interview และบันทึกไว้โดยใช้ Montage Software ซึ่งอยู่บนระบบ Cloud และ นักศึกษาได้บันทึกการนำเสนอ โดบจำลองว่าจะต้องเข้าสู่กระบวนการสรรกานักบัญชีมืออาชีพ ด้วยกระบวนการที่ถูกออกแบบนี้ทำให้นักศึกษาได้เพิ่มพูนทักษะที่จำเป็น มีความพร้อม และสื่อสารได้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น ซึ่งคะแนนในส่วนนี้มีน้ำหนัก 20% ของคะแนนทั้งหมดใน Capstone Unit
Picture
Picture
เดินทางมาถึงองค์ประกอบสุดท้าย คือ Case Study หรือการใช้กรณีศึกษา ซึ่งอยู่ในสัปดาห์ที่ 8-11 โดยให้นักศึกษาต้องศึกษาในกรณีตีวอย่างที่น่าสนใจ 3 กรณี แบบเป็นงานส่วนตัว แบบทีม และแบบแบ่งปันในชั้นเรียน ซึ่งทีมผู้สอนได้เลือกเอากรณีศึกษาที่เจาะจงลงไปในกลุ่มปัญหา อาทิ ด้านบัญชี, ด้านจริยธรรม, ด้ารการจัดการที่ไม่โปร่งใส, ด้านสังคม และสิ่งแวดล้อม  ซึ่งกรณีซึกษาเหล่านี้ช่วยให้นักศคกษาไดเคิดวิคราะห์และนำบทเรียนทีได้ไปใช้ในการวิเคราะห์ปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต (Bonoma, 1898) กระบวนการเรียนรู้ในเชิงลึก, การอภิปราย, การแสดงทรรศนะที่แตกต่างกันไป และการแลกเปลี่ยนทรรศนะในชั้นเรียนช่วยให้เกิดความกระจ่าง และครอบคลุมการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ Evidence-Base Analysis หรือการใช้หลักฐานในการวิเคราะห์ ส่งผลให้สามารถสร้างโซลูชั่นในการแก้ปัญหาให้กับองค์กรได้ (Cullen, Richardson & O'Brien, 2004) ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้เพิ่มขีดความสามารถให้กับนักศึกษา และมีน้ำหนัก 30% จากคะแนนทั้งหมด

กระบวนการปรับเปลี่ยน Capstone นี้ เพิ่มต้นเป็นครั้งแรกในระบบสามภาคเรียนตั้งแต่ปี 2017 และใช้ต่อเรื่องมาในทุก ๆ ไตรภาคของการศึกษา โดยจัดให้มีการสัมมนาในวิทยาลัย โดยจัดอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้พร้อมเพื่อให้ผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเกิดขึ้นจากการประสานความร่วมือและทรัพยากรเพื่อเอาชนะข้อจำกัดต่าง ๆ และสร้าง Active Learning การสัมมนาผ่านระบบ Online Conference ต่าง ๆ เช่น Ultra และ Zoom ใช้่ Breakout เพื่อสร้างกลุ่มอภิปรายย่อย ๆ ขึ้น ซึ่งเป็นวิธีที่เลือกใช้ในช่วงที่เกิดการระบาดของโรคทางเดินหายใจในช่วง ปลายปี 2019 - 2021 (บทความนี้เสนอในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2564) ซึ่งการนำเอา MonsoonSIM Simulation นี้เป็นเครื่องมือในสัปดาห์ที่ 4-6 ก็ได้รับประเมินที่ดี และสร้างความก้าวหน้าในทางทักษะให้กับนักศึกษา โปรดอ่านจดหมายแนบด้านล่างประกอบ
letter_from_deakin_to_monsoonsim.pdf
File Size: 102 kb
File Type: pdf
Download File

จดหมายจาก Dr.Christine Contessetto, Director of Teaching - Department of Accounting, Deakin University ไปยัง Abdy Taminsyah, President, CEO ของ MonsoonSIM
Picture
    ผลลัพท์ และข้อชวนปภิปราย

ความท้าทาย 

     การดำเนินการ Capstone Unit นี้มีความท้าทายหลายประการ เช่น กลุ่มผู้เรียนประกอบด้วย นักศึกษาจากหลายวิทยาเขต และมีทั้งส่วนที่เป็นนักศึกษาที่เช้าร่วมผ่านระบบออนไลน์ส่วนหนึ่ง, นักศึกษาที่มีหลากหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มที่หยุดพักการเรียนไปเป็นช่วงๆ และมีความแตกต่างทางอายุของผู้เรียน การจะสร้างให้เกิดประสบการณ์ในระดับเดียวกันเป็นไปได้ยาก เช่น การระบุเวลาในการเข้าร่วมในระบบออนไลน์ ซึ่งนักศึกษาต่างมีข้อจำกัด และอยู่ในคนละเขตช่วงเวลา สำหรับกลุ่มนักศึกษาที่อายุมากกว่านั้น ก็จะมีประสบการณ์จากการทำงานมาประกอบซึ่งแตกต่างจากนักศึกษาโดยทั่วไป ซึ่งบางกระบวนการนั้นได้รับความสนใจและมีคุณค่าไม่มากเท่ากับนักศึกษาที่ยังมีประสบการณ์น้อยหากเปรียบเทียบกัน แต่ก็มีส่วนดีที่พบว่าเกิดการแลกเปลี่ยนทักษะ ประสบการณ์ระหว่างกันซึ่งเป็นแนวทางที่น่าสนใจ 

ผลประทบที่เกิดขึ้น
        นักศึกษากว่า 2500 คนที่ผ่าน Capstone Unit นี้ (ตั้งแต่ปี 2017-2021) ได้สะท้อนให้เห็นว่า Capstone  Unit (วิชาประมวล วิชาสัมมนา) ได้สร้างให้เกิดประสบการณ์ที่ใกล้เคียงโลกจริงหลังจบการศึกษา ซึ่งนักศึกษาจะต้องประสานงาน ประสานความรู้ และประสบการณ์และสร้างพลวัตรในการขับเคลื่อนงานที่ได้นับมอบหมายในฐานะสมาชิกขององค์กร หรือทีมใด ๆ การใช้ Off-the-shelf industry-releveant cloud-based simulation software (;MonsoonSIM) ช่วยผลักดันให้เกิดความเข้าใจในกิจกรรมที่เกิดขึ้นในชั้นเรียน และมีความพร้อม ความสะดวก ลดขั้นตอนในการเตรียมการ การสนับสนุน และการใช้งานจากเดิมที่ยุ่งยากให้ง่ายขึ้น  
       ผู้สอนสามารถเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นในระหว่างการเรียนของนักศึกษาได้ง่ายขึ้นจากมุมมองต่าง ๆ และสามารถที่จะหารือกับทีมผู้สอน และช่วยเหลือนักศึกษาและทีม สร้างชั้นเรียนที่มีความหมาย และนำส่งใจความสำคัญ สาระสำคัญได้โดยไม่ต้องใช้ทีมผู้สอนจำนวนมากในการอำนวยการในชั้นเรียน เมื่อจบระบบไตรภาตและแบบประเมินที่นักศึกษาส่งกลับมาบ่งชี้ชัดเจนว่า สร้างความพึงพอใจได้มากกว่า การเรียนการสอนแบบทั่วไปโดยเฉลี่ยนในวิทยาลัย ซึ่งนักศึกษาให้ความเห็นในทางเลือกที่ระบุว่า เกิดความถึงพอใจกับการเรียนในหน่วยกิตนี้ มากกว่า 90%

        บทความของ Prosser & Trigwell, 1999 ระบุไว้ว่า การสร้างให้นักศึกษาสามารถแก้ปัญหาที่วับซ้อนได้ โดยอาศัยเทคโนโลยีในการเรียนรู้่มาช่วยสร้างบรรยากาศในการเรียน และสร้างกิจกรรมช่วยพัฒนาทักษะที่จำเป็นให้กับนักศึกษากลุ่มใหญ่ๆ ได้ดี ทว่าจะต้องพึงระลึกไว้ที่จะหลีกเลี่ยงความพยายามยัดเยียดความรู้ที่เกิดความจำเป็น จะได้ผลดีอย่างมาก ซึ่งนักศึกษาก็ให้ความเห็นที่สอดคล้องกันกับแนวคิดนี้เช่นกัน โดยมีตัวอย่างที่น่าสนใจดังนี้ 
Picture
      "วิชานี้พร้อมด้วยเครื่องมือเหล่านี้ (MonsoonSIM และกระบวนการอื่่นๆ; ผู้แปล) ได้ช่วยให้ฉันเกิดความเข้าใจได้อย่างดีในการเป็นนักบัญชีมืออาชีพ และชjวยให้เกิดความเข้าใจในขอบข่ายของงานที่เกี่ยวข้อง วิชาและกระบวนการในวิชานี้สอนให้ฉันเข้าใจ ตระหนักถึงความสำคัญของการทำงานร่วมกันเป็นทีม การสื่อสาร การตัดสินใจในปัญหาสำคัญ ๆ และนำไปใช้ในโลกบัญชีจริงในฐานะนักบัญชีได้ ซึ่งฉันมีความพึงพอใจอย่างมาก" ได้รับการอนุญาตจากเจ้าของ feedback แล้วก่อนนำมาใช้ในบทความนี้
Picture
ตารางประเมิน เปรียบเทียบในปี 2017 (เมื่อริเริ่ม Capstone Unit ในรูปแบบใหม่) กับปี 2020 ปีที่ 4 ที่ใช้รูปแบบนี้ ในประเด็นการรับรู้ถึงความสามารถในการทำงานเป็นทีม, การแก้ปัญหา ซึ่งนำไปสู่ บุคลากรที่มีคุรค่า โดยวิชาสัมมนานี้อยู่ภายใต้วัตถุประสงค์ที่ว่า จะเพิ่มขีดความสามารถในการทำงานในฐานะ staff ขององค์กร, ความเป็นมืออาชีพ และทักศะในเชิงเทคนิค สำหรับนักศึกษาวิชาบัญชีที่มีความพร้อมสูงในการทำงาน แบบประเมินระบุว่า
  • เกิดการพัฒนาในทักษะพื้นฐาน อยู่ในเกณฑ์ดีมาก (มากกว่า 80%) คือ 84% (2017) และเพิ่มขึ้นเป็น 85.4% ในปี 2020
  • ความสามารถในทำงานโดยประสานงานความร่วมกันกับผู้อื่น งานอื่น  อยู่ในเกณฑ์ดี (70-79%) คือ 71% (2017) และเพิ่มเป็น 79.6% ในปี 2020 
  • ความสามารถในการแก้ปัญหา อยู่ในเกณฑ์ดีมาก (มากกว่า 80%) คือ 82% (2017) และเพิ่มขึ้นเป็น 85.4% ในปี 2020
  • ความสามารถในการผสานความรู้ที่หลากหลายเข้ามาร่วมกัน อยู่ในเกณฑ์ดีมาก (มากกว่า 80% คือ 84% (2017) และ 83.3% ในปี 2020
Picture
บทสรุป
     การศึกษาในสายวิชาบัญชีควรได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นระบบ ต่อเนื่องและแข็งแรง ที่จะพัฒนาผู้ที่สำเร็จการศึกษาในสายวิชาชีพซึ่งสามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพมีศักยาภาพที่จะตอบสนองต่อความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่าง ๆ สามารถที่จะใช้ และประยุกต์ใช้ความรู้ในเชิงทฤษฎีนำไปสู่การทำงานในปัจจัย สภาพแวดล้อมและข้อจำกัดจริง, สามารถสร้างคุณค่าเพิ่ม, ปรับเปลี่ยนเพื่อตอบสนองต่อความท้าทายต่าง ๆ เพื่อเปลี่ยนปัญหาให้กลายเป็นโอกาส ซึ่งเป็นความเห็นอันมรค่าและหลากหลายจกาผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่าง ๆ ที่ได้รวบรวมมาเพื่อทำงานวิจัยนี้ ทีมของเราได้ปรับเปลี่ยนวิชาสัมมนา (Capstone Unit) โดยเพิ่ม Digital Technology ลงไปในกระบวนการเรียนรู้และการบ่มเพาะประสบการณ์ให้กับนักศึกษา ช่วยให้นักศึกษาผสานความรู้ และความรู้ของตนไปใช้งานได้จริง ในบทความนี้เราได้เสนอปัจจัยสำคัญในกระบวนการ และต้องการให้ประชาคมใน ASCILITE ได้รับทราบถึงกระบวนการ และการออกแบบ Capstone ของเราเพื่อประโยชน์แก่เยาวชนชองรา และเราได้ปรับเปลี่ยน ใช้งาน Framework ต่าง ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายของเรา 


ความเห็นจากผู้แปล และในฐานะของ MonsoonSIM Facilitator ในประเทศไทย 
  • วิชาสัมมนาควรได้รับการออกแบบเป็นอย่างดี ถึงกระบวนการและเนื้อหา วิชาสัมมนาที่มักมีในประเทศไทยเป็นเพียงวิชาที่หลายสถาบันผลักให้นักศึกษาออกไปหากิจกรรมเพื่อให้ครบหลักสูตรที่บังคับ และอาจไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใด ส่วนวิชา Capstone ในความหมายของ Final Project นั้น ก็ถูกใช้เพื่อเป็นเงื่อนไขในการรับรองให้นักศึกษาผ่านเกณฑ์ การทบทวนบทบาทของวิชา Capstone ในประเทศไทย ควรให้ความสำคัญเช่นที่มีการ Re-Designed ในตัวอย่างของ Bachelor of Commerce ของ Deakin Business School
  • การออกแบบกระบวนการและโครงสร้างเป็นเรื่องสำคัญ ทั้งในระดับวิชา และในระดับหลักสูตร  เช่น องค์ประกอบแรกได้ช่่วยให้นักศึกษาที่ผ่านวิชาทั่วไปและวิชาเฉพาะสามารถเชื่อมโยงทฤษฎีที่เรียนมาให้เป็นชุดความรู้ที่ใช้งานได้ ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นในการศึกษา ทว่า ในประเทศไทยจากประสบการณ์ที่คลุกคตลีวงนอกของการศึกษาพบว่า เราให้ความสำคัญน้อยมากกว่าการวัดผลรายวิชาที่ขาดท่อน คล้ายไม่ซีกบนระนาดที่ไม่ได้เรียงคีย์เสียงสูงต่ำ เพื่อประสานให้เกิดเป็นเพลงที่ไพเราะได้  ในองค์ประกอบที่สอง คือการสร้างประสบการณ์เสมือนผ่าน Simulation พบว่าในประเทศไทย มีสถาบันการศึกษาที่ยังไม่เข้าใจการใช้ Simulation มาก ไม่มีนโยบาย ไม่มีงบประมาณในการ support และที่สำคัญไปกว่านั้น คือ ขาดบุคคลกรที่มีความพยายาม และมีจำนวนน้อยลงเรื่อย ๆ ในภาคการศึกษาของไทย บุคลากรที่ให้ความสนใจเดียวดายกลางสายลมแปรปรวน ต้องยืนหนึ่งและแข็งแรงมาก โดยปราศจากทีมและความเข้าใจจากผู้บริหาร  Experiential Learning ของการศึกษาไทยวางกรอบหัก ๆ เอาไว้ โดยผ่านกิจกรรมเช่นการฝึกงาน, การทำ project และ สหกิจแบบขอไปที ไม่ได้ใส่ใจในคุณภาพและประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น
  • ตัวอย่างที่น่าสนใจในส่วนของการสร้างประสบการณ์ให้กับนักศึกษา ในองค์ประกอบที่ 3 น่าสนใจมาก เช่น การรวบรววมสรรพกำลังใาจัดกิจกรรมสัมภาษณ์สร้างความพร้อมให้กับนักศึกษา ซึ่งการศึกษาไทย จะเอาใครซักคนมาพูดให้นักศึกษาฟัง และจบไป โดยเชื่อว่าได้ให้ประสบการณ์แล้วอย่างดีและเพียงพอ (อนิจจัง พุธโธพุธถัง) ส่วนในองค์ประกอบที่ 4 นั้น เราก็มีกรณีศึกษา ทว่ากรณีศึกษาของเราแตกต่างจากวิธีการในบทความค่อยข้างมาก เรามีกรณีศึกษาเพราะว่าต้องมีเขียนในแบบ มคอ. ทว่ากรณีศึกษาของเราไม่ได้ถูกใช้อย่างจริงจังและมุ่งหวังประโยชน์ 
  • ความน่าสนใจคือ การวางแผน การคำนึงถึงข้อจำกัด และการจัดการเรื่องทรัพยากรที่จำเป็นเพื่อให้ Capstone Unit ประสบผลสำเร็จ นั้นได้รับความร่วมมือ และสนับสนุนอย่างดี แตกต่างจากการศึกษาของไทย ที่วิชาสัมมนาในลักษณะนี้ไม่ได้รับความใส่ใจ ต้องอาศัย Connection ส่วนตัว และที่สำคัญ คือ Vision ที่พล่าเลือน กับ Misssion ที่บิดเบือนของ Capstone แบบไทย ๆ 
  • เราจะต้องเปลี่ยน Mindset และกำหนด Vision Mission ของการศึกษาไทยเสียใหม่ อย่างที่เราท่านเห็น เข้าใจ เจ็บและชินไปเอง ควรต้อง ถึงกาลปาวสาน หากเราต้องการสร้างเยาวชนที่มีความสามารถในการอยู่รอดในสังคม VUCA ให้เราภาวนา คิด และร่วมลงมือทำ

0 Comments

MonsoonSIM Simulation Based Training การพัฒนาบุคลากรให้เก่งคน เก่งงาน และคิดแบบผู้ประกอบการ

6/13/2021

0 Comments

 
บทนำ
บทความนีัเป็นบทความขนาดกลางค่อนไปทางยาว ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจเหตุและความจำเป็นในการพัฒนาบุคลากรซึ่งมีรากฐานที่มา รวมไปถึงชี้ให้เห็นถึงรูปแบบของการพัฒนาบุคลากรที่เน้นรุปแบบการให้ความรู้ และคาดหวังให้เอาความรู้ได้รับการนำไปปรับใช้ในการทำงาน ทว่า โอกาสที่ให้ทดลองความรู้บนความผิดพลาดในงานจริงมีน้อย การอยู่ใน Safe และ Comfort Zone จึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าสำหรับบุคลากร ที่ถูกวัดผลบนวิธีการ และมาตรวัดแบบเดิม ทว่าต้องการการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สอดคล้องกัน ในส่วนท้ายได้แนะนำให้ท่านเข้าใจถึงการใช้รูปแบบผสม รวมกับโอกาส (Ecosystem) ที่เอื้ออำนวยให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้โดนผสานองค์ความรู้เข้ากับปัจจัยอื่น ๆ เพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปการอบรมเพื่อพัฒนาบุคลากรของท่าน บนความเข้าใจ โอกาสในการทดลองผิดถูกจากโลกของ Simulation Base Training เพื่อประสบการณ์ + ความรู้ไป Simulate แผนและผลกระทบที่จะเกิดขึ้น เพื่อสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ท้ายที่สุดนี้ หากองค์กรของท่านพึงพอใจกับแนวทางในการพัฒนาบุคลากรในปัจจุบัน บทความนี้จะไม่มีประโยชน์กับท่าน ทว่าหากปัจจุบันท่านยังไม่เกิดความพึงพอใจ หรือยังไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงตามที่ "วัตถุประสงค์" ของการพัฒนาสมรรถนะของบุคลากรได้วางไว้ บทความนี้ก็เป็นแนวทาง และทางเลือกให้ท่านได้ และเป็นประโยชน์กับท่าน ไม่ว่าท่านจะใช้หรือไม่ใช้ ทดลอง หรือไม่ทดลอง Simulation Base Training แต่ขอให้เกิดกระบวนการปรับใช้ Training Base Mix หรือ การผสมผสานวิธีการหลายรูปแบบซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ท่านเอง 

อนึ่งบทความนี้เรียงร้อยจากประสบการณ์ และบทความที่ได้อ่านและสะสมมา ทว่ามิใช่บทความในแง่มุมวิชาการ ซึ่งขอให้ท่านได้ใช้วิจารณานประกอบเป็นสำคัญ และถูกเขียนในความเชื่อของผู้เขียนเรื่อง "สังคมอุดมนักประกอบการ" ที่หวังให้ Entrepreneurial Mindset and Action เป็นคุณสมบัติมาตรฐานของคนไทยในรุ่นต่อไป ซึ่งองค์กรเอกชน และภาคการศึกษาเองต้องเปลี่ยนวิธีคิด และวิธีทำ เพื่อเปลี่ยนผลลัพท์ไปด้วยกัน 

ปรมินทร์ เยาว์ยืนยง 
MonsoonSIM Thailand
Picture
Credit Photo: https://www.indiamart.com/proddetail/human-capital-management-14301253930.html
ย้อนประวัติศาสตร์แห่งการพัฒนาบุคลากรในองค์กร
การพัฒนาบุคลากรให้องค์กรเป็นงานที่ไม่มีวันสิ้นสุด  เพราะว่าโลกเกิดความต้องการที่ "ซ้อซ้อน" มีวิชาและองค์ความรู้ที่มาจากการปรับปรุงฐานความรู้เดิมจากศตวรรษที่ 19 ได้รับการเน้นบางมุมเป็นพิเศษ และเพิ่มเติม Integrated บางส่วนของอีกองค์ความรู้ประสานเข้าไป หรือ ปรับเปลี่ยนด้วยการไม่ขยาย ก็เพื่มกระบวนการเข้าไป และ "ตั้งชื่อใหม่"  ผู้นำและผู้บริหารองค์กรได้รับอิทธิพลจากแนวคิด เรื่อง พัฒนาให้ดี และทันสมัย ผสมกับการเปลี่ยนแปลงรุ่นของผู้บริหารตั้งแต่ Boomer เปลี่ยนมือเป็น Gen-X ตอนต้น และในปัจจุบัน (เขียนเมื่อ 2565) รุ่นของผู้บริหารองค์กรมาสู่ Gen-X ตอนกลาง และตอนปลายในองค์กรที่มีอายุมากกว่า 20 ปีขึ้นไป และ Gen-X ตอนกลางค่อนปลาย ถึง Gen-Y สำหรับองค์กรรุ่นที่ใหม่กว่า รวมไปถึงการเกิดขึ้นขององค์กรรุ่นใหม่ เช่น Startup ที่มาพร้อมกับความเข้าใจในเทคโนโลยีที่่ใหม่และสดกว่า เพิ่มมีบทบาทในสังคมโลกมากขึ้น 

โลกมีการจัดตั้งองค์กรทางธุรกิจแบบกว้างขวางในราว 150 ปีก่อน และรับเอาผลิตผลทางการศึกษาที่มีรากฐานตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา ในยุคที่ทุกศาสตร์มุ่งหาความเป็นเลิศ และมีความเป็น "ศาสตร์" ให้เชื่อถือ (มีกระบวนการวิธี มีขั้นตอน มีการใช้หลักฐานอ้างอิง มีการสร้างตำราและหลักสูตร) ความลึกในแต่ละศาสตร์ทำงานของมันในช่วงระยะเวลากว่า 100 ปี และสร้างธรรมเนียมการทำงานแบบแยกส่วน ไหลต่อกันมาเป็นกระบวนการและขั้นตอน มนุษย์งานมีความเชี่ยวชาญในงานนั้น ๆ และนำกรอบการปฏิบัติ ร่วมกับพื้นฐานด้านการศึกษา เกิดเป็น "กำแพง" ซึ่งมีความหนาและสูงแตกต่างกันไปในแต่ละอุตสาหกรรม และวัฒนาธรรมทางการทำงาน กำแพงเหล่านั้นรู้จักกันในนาม Silo ซึ่งเป็นชื่อเรียกแทนการแบ่งส่วนกัน และสะท้อนการบริหารจัดการภายในฝ่ายหรือแผนกของตัวชัดขึ้น รูปแบบการทำงานนี้ได้ฟูมฟักตัวเอง เติบโต และแพร่กระจายในนาม modern management/organization structure ในช่วง 1850-1950 จากภูมิภาคตะวันตกของโลกลามมายังเอเซียตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และเน้นหนักในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง (ซึ่งสอดคล้องกับยุคล่าอาณานิคมทางเศรษฐกิจในทางประวัติศาสตร์) 
Picture
จุดเริ่มต้นของการพัฒนาบุคลากรในองค์กร และการเริ่มต้นของแนวคิด Coporate Entrepreneurship; Intrapreneurship
     การหยั่งรากของระบบ Organization ที่เป็นแบบแผน เดินมาและสะดุดลงเมื่อ ความต้องการ "คน" ในภาคธุรกิจ และอุตสาหกรรม ต้องการคนที่มี Competency มากขึ้น และต้องการ Hard Skills เฉพาะทาง เพื่อให้ทำงาน "ตามระบบ" ที่ออกแบบไว้ ประกอบการสังคมทั่วโลกเริ่มเปลี่ยนแปลง "ความเท่าเทียม" กันในทางการศึกษาซึ่งปัจจุบันก็ยังไม่มี แต่ได้รับการทดแทนด้วย "ความทั่วถึง" แบบ "ลักลั่น" แทน จึงเกิดเป็นระบบการศึกษา และเน้นการสร้างนักปฏิบัติงานในสายวิชาชีพ (อาชีวะ) (ผู้เขียนเรียกว่า Blue Collar 2.0) และในสายของบริหารส่วนหนึ่ง นักวิจัยส่วนหนึ่ง ในรูปแบบของการศึกษาที่เป็น Colloge/Shool ต่าง ๆ (ผู้เขียนเรียนกว่า White Collar 1.0) ปรากฎการณ์นี้เป็นที่น่าพอใจในระยะแรก เนื่องจากคุณภาพของบัณฑิตมีมากแต่มีจำนวนน้อย หลังจากที่การศึกษายุค "ตื่นทอง" (เรียกล้อเลียนไปกับยุคตื่นทองของอเมริกา ซึ่งในภาคการศึกษาเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 100 ปีก่อน) มหาวิทยาลัย และสถาบันการศึกษามีจำนวนเพิ่มขึ้น โอกาสของคนทั่วไปมีมากขึ้น และสภาพเศรษฐกิจทั่วโลกเริ่มเติบโตหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (รวมถึงทุนต่าง ๆ ในช่วงสงครามเย็นจากยุโรป และอเมริกา กระจายไปยังส่วนต่าง ๆ ของโลก แลกกับฐานอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศปลายทาง) เมื่อมีนักศึกษามากขึ้น ทำซ้ำจากต้นฉบับมาก และมีการควบคุมคุณภาพด้านการศึกษาโดยภาพรวมน้อยลง ประกอบกับธุรกิจเติบโต มีการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี ตลาด สังคม วัสดุศาสตร์ การคมนาคม ฯลฯ ทำให้ "ความต้องการของโลกธุรกิจ" เดินเร็วกว่า "โลกการศึกษา" เป็นหนึ่งในปัจจัยให้เกิดพัฒนาบุคลากรในองค์กรให้ก้าวทันความต้องการ เกิดเป็นจุดเริ่มต้นของการ Training and Developing เพื่อเติม และเสริม "สมรรถนะที่พร่อง" ให้กิจการสามารถดำเนินการได้
     การศึกษาที่เน้นแบ่งเป็น School เพื่อให้แต่ละศาสตร์มีสถานะที่ชัดเจนและมั่งคง ได้สร้างผลลัพท์ให้ การศึกษาจากเคยเป็นองค์รวมของวิชาต่าง ๆ เป็นแยกส่วน และสร้างให้เกิด Silo base ในการศึกษา มีตัวชี้วัดซึ่งคเยมาจากองค์รวม เป็นการสร้างตัวชี้วัดเฉพาะทางขึ้น สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ บัณฑิตนำติวตัวมาอย่างโลกการทำงาน และสร้างการทำงานที่เป็น Silo Culture ขึ้น โลกการศึกษา และโลกธุรกิจได้เติบโต และมีโครงสร้างที่แข็งแกร่งขึ้น จวบจนสิ่งแวดล้อมในการทำงานเปลี่ยนแปลง เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไป ทำให้ "โลกเดิม" ของการศึกษา และการทำงานแบบ Silo เกิดปัญหา (ช่วงนี้กินเวลาตั้งแต่ ราว คศ. 1800 - 1970) ในขณะที่องค์กรธุรกิจขนาดเล็ก และขนาดกลางเกิดขึ้นและปรับตัวอย่างรวดเร็ว องค์กรขนาดใหญ่เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า และมี Organization Structure ที่เริ่มไม่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากมีชั้นในการแบ่งงานสูงและมีหลายลำดับ ยังไม่รวมกับ Silo Culture ที่หยั่งราก  (ปัญหานี้อยู่ในช่วงราว 1970 เป็นต้นมา) และเป็นการเริ่มกลับไปมองถึงรูปแบบการทำงานที่มีจิตวิญญาณแบบเจ้าของกิจการ ที่มองเห็นภาพรวม และประสานงานเข้าด้วยกัน ใช้ทรัพยากรที่น้อยกว่า ปรับเปลี่ยนได้ง่ายกว่า และมีประสิทธิภาพ พอที่จะทำให้ธุรกิจขนาดเล็ก เป็นขนาดกลาง ขนาดกลาง เป็นขนาดใหญ่ และเริ่มโยกคลอนอาณาจักรการทำงานของ Enterprise ที่บริหารงานแบบเดิม แนวคิดแบบนี้ คือ Corporate Entrepreneurship หรือเรียกว่า Intrapreneurship ซึ่งคาดหวังให้คนที่ทำงานในระบบองค์กร หรือบริษัท ใช้แนวคิดหรือมีจิตวิญญานแบบเจ้าของกิจการ เพื่อหวังว่า จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เช่นที่เป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในธุรกิจที่ Enterprise อาจไม่เคยคิดว่าเป็นคู่แข่งมาก่อน ทว่าปัญหามีหลายส่วนมาก เช่น นโยบายที่วางไว้ มีแผนการทำงาน ระบบ Organization Structure และ Culture ที่เปลี่ยนแปลงได้ยาก และยังคงมุ่งเน้นการสร้าง Competency ในการทำงาน เพราะว่า HR ยังอยู่ในมาตรฐานเดิม ซึ่งย้อนแย้งกับปลายทางที่อยากให้บุคลากรในองค์กรเป็น Corporate Entrepreneurs ซึ่งควรเปลี่ยนแปลง หรือทำ Organization Transformation จากหลากหลายมิติ ที่แน่ ๆ คือ การสร้าง Mindset นั้นเป็นปัญหาหลักที่สุดในการเปลี่ยนแปลงนี้ ลำพังการอบรมแบบเดิมไม่สามารถเปลี่ยนแปลง หรือก่อให้เกิดการ Trans-Behavior ได้ ซึ่งหากจะใช้วิธีการ Training ที่เป็นที่นิยท จะต้องเปลี่ยนแปลงกระบวนการอบรมและพัฒนาบุคลากรเสียก่อน

รูปแบบการพัฒนาบุคลากรในองค์กรที่เป็นที่ต้องรู้จัก และเข้าใจ ก่อนลงมือเลือกวิธีการ เข้าใจเรื่องนี้ เพื่อทำให้เกิดสภาวะ "เก่งงาน และเก่งคน"
การพัฒนาบุคลาการในองค์กรมีหลายรูปแบบ ซึ่งแปลเปลี่ยนไปตามเทคโนโลยี และวิธีการใหม่ ๆ ที่โลกของการ Training and Developing สร้างขึ้น โดยมีรูปแบบต่าง ๆ ที่เป็นที่นิยมกันดังต่อไปนี้
Picture
Picture
Credit Photo: https://seemetricspartners.com/tell-forget/
  • ​Knowledge Base Training เป็นวิธีที่มีมาแต่โบราณ เป็นผลมาจากรูปแบบที่อิงมาจากระบบการศึกษา ซึ่งในอดีตนั้น ชุดความรู้ใด ๆ กระจุกตัวอยู่ในสถาบันการศึกษา และในตำรา ซึ่งมีรูปแบบย่อย ๆ เช่น
    • Lecturing ซี่งรูปแบบนี้ผู้สอนเป็นผู้ลำเลียงข้อมูลจำนวนมากให้กับผู้เรียน ซึ่งอาจจะไม่มีความพร้อมในการเรียน หรือหากมีความพร้อมมาก งานวิจัยบ่งบอกว่าได้ผลน้อยกว่า 10% แต่เป็นวิธีที่ถูกใช้ในการเรียนการสอนและการอบรมมากที่สุด ในความเห็นส่วนตัวยังคงเป็นรูปแบบที่ต้องคงไวฝ้ ทว่าจะต้องเพิ่มรปแบบอื่น ๆ เข้าไปผสมผสาน อย่าใช้การ lecuturing อย่างเดียวในการอบรมและพัฒนาบุคลากรของท่าน อย่างน้อย การใช้คำถามปลายเปิด ก็เป็นวิธีที่ผู้บรรยายสามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดการทบทวน ความรู้ความเข้าใจ ทว่าการจะได้ respond กลับมาเป็นเรื่องที่ผิดธรรมชาติของคนไทย ที่ไม่กล้าถาม ไม่กล้าตอบ ไม่กล้าแสดงความเห็นในห้องเท่าไหร่ 
    • Reading หรือการอ่าน มีผลมากกว่า 10% ซึ่งขึ้นอยู่กับความสามารถในการตีความ ความสามารถด้านภาษาของผู้อ่าน หากเป็นในโลกปัจจุบัน แหล่งข้อมูลอาจมีทั้งที่เชื่อถือได้และเชื่อถือไม่ได้ สำหรับในประเทศไทย พฤติกรรมการอ่าน และยิ่งถูกบังคับให้อ่านยิ่งมีบทบาทน้อยลง ลำพังการอ่านข้อความเตรียมตัวสั้น ๆ ในระหว่างการลงทะเบียนอบรม บางครั้งยังไม่มีคุณภาพเลย แต่อาจจะใช้กิจกรรมต่าง ๆ มาช่วยเพื่อให้การอ่านเกิดผลขึ้นได้ เช่น การมีโครงการอ่านแล้วนำมาเล่าในกลุ่มงานของตัวเอง ซึ่งเมื่อมีักิจกรรมรวมเมื่อไหร่ การอ่านจะได้รับการสนับสนุน และการ Decode ด้วยกิจกรรมที่นำมาเล่าต่อให้เพื่อนร่วมงานฟังนั้น เป็นทางเลือกที่อาจจะปรับใช้กับคนไทยได้
    • การเรียนผ่าน Media ที่เป็น Audiovisual ในยุคแรก ๆ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นแบบ Online Platform วิธีนี้งานวิจัยบอกว่ามีประสิทธิภาพสูงกว่า เพราะว่าใช้ Media มาช่วย และในปัจจุบันในระบบออนไลน์สามารถที่จะดูซ้ำได้เพื่อเกิดความเข้าใจ และมีโอกาสสังเคราะห์ความเข้าใจได้ หยุดเพื่อทบทวนได้ ซึ่งได้ผล 30% โดยเฉลี่ย ในปัจุบันมีการเรียนหรืออบรมด้วยวิธีนี้มากขึ้น อาจจะต้องเลือกใช้ Platform ที่ต้องมี respond ในระหว่าง session ประกอบ เพราะว่า ท่านอาจจะได้การ login เข้าไป แต่อาจจะไม่ได้สาระอะไรเลย หากวัดผลจากเวลาในระบบอย่างเดียว 
​
  • Activity Base Training เป็นวิธีที่มีมานานในการศึกษา และการอบรม ซึ่งได้รับความนิยมมาก ทว่ามีปัจจัยที่ตค้องร่วมกันหลายปัจจัยเพื่อให้เกิดความสำเร็จขึ้นได้ และอาศัยระยะเวลาเป็นสำคัญ เพราะว่า การเรียนรู้หรืออบรมผ่านกิจกรรมนั้น จะต้องอาศัย ความรู้ + การลงมือเพื่อให้เกิดประสบการณ์ + การวัดผลที่มีความเข้าใจ (และการวัดผลใช้ระยะเวลายาวนานกว่า) การใช้ Activity Base Training ยังคงต้องอาศัย Knowledge Base เข้ามาผสมผสาน ทั้งในรูปแบบของการสอน การแนะนำ แต่ต้องเกิดขึ้นควบคู่และประสานกันไป ในงานวิจัยเรืองการเรียนรู้  
    • การสาธิต Demonstration ได้ผลดีกว่า เพราะว่า ได้เห็นขั้นตอนและกระบวนการ โดยที่ไม่ต้องอาศัยจินตนาการ เป็นลูกผสมของ 3 วิธีขั้นต้น ซึ่งได้ผลลัพท์ที่ดีกว่า ส่วนมากการเรียนด้วยการสาธิตนั้น จะยังมีข้อจำกัด คือ ผู้เรียน หรือผู้เข้าอบรมยังไม่มีโอกาสได้ลงมือทำ เพื่อให้เกิดประสบการณ์จริง อาจเป็นดด้วยข้อจำกัดด้านเวลา และจำนวนชุดของเครื่องมือซึ่งเป็นข้อจำกัด ทว่า ก็ยังได้ผลลัพทที่ดีกว่าในระดับถึง 30% 
    • Discussion หรือการเปิดโอกาสให้การอบรมมีการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ เพิ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น ในนามของ Workshop ซึ่งเมื่อสมาชิกในการอบรมได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความเห็น ในกระบวนการแลกเปลี่ยนความคิด ความเห็นจะเกิดกลไกให้คิดทบทวน หาเหตุผลต่าง ๆ ซึ่งทำให้วิธีการนี้มีผลตอบรับในการเรียนรู้ถึง 50% สำหรับคนไทยนั้น อาจไม่ใช่สมาชิกทุกคนในกลุ่มที่เปิดใจแลกเปลี่ยนทรรศนะ ความเห็นกันทุกคนซึ่งเป็นความท้าทายที่เกิดขึ้น เว้นเสียแต่จะมีรูปแบบที่ให้แต่ละคน feel free ที่จะร่วม discussion กัน ประกอบ ส่วนมาก content ที่ใช้ในการ discussion มักเป็นเรื่องของ Problem Base ซึ่งหากเพิ่ม framework ลงไป จะช่วยให้เกิดกระบวนทักษะในการแก้ปัญหา เพิ่มจากการ discussion ด้วย 
    • Practice Doing base เป็นวิธีที่ได้ผลตอบสนองด้านการเรียนรู้ในระดับคะแนน 75% ขึ้นไป ซึ่งการได้ลงมือทำกิจกรรมใด ๆ นั้น จะเกิดจากกระบวนการคิด วางแผน ลงมือ วัดและวิเคราะห์ผล ปรับปรุงแผน ลงมือทำ จนเกิดเป็นความเข้าใจที่มากขึ้น ซึ่งวิธีการที่นิยมมาก ได้แก่ 
      • ​OJT; On The Job Training เป็นวิธีการที่มีมาช้านานในโลกของการพัฒนาสมรรถนะของบุคลากร ซึ่งช่วยให้เกิดเข้าใจการทำงาน และเกิดประสบการณ์ตรงในการทำงาน ได้รับคำแนะนำจากผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์ (หากมีบุคลกรที่เป็น mentor ที่ดีในสายงานนั้น ๆ ภายในองค์กร), สามารถเข้าใจวัฒนธรรมองค์กรต่าง ๆ และรูปแบบ และพฤติกรรมของเพื่อนร่วมงาน เพื่อให้เกิดการปรับตัวได้ (ซึ่งขึ้นกับชีดความสามารถในการปรับตัวของแต่ละบุคคล) ทว่าวิธีการนี้มีปัจจัยเช่น นโยบายของบริษัทซึ่งยอมรับการเรียนรู้ซึ่งใช้เวลาไม่เท่ากันในแต่ละบุคคล หรือเกณฑ์ชี้วัดที่ต้องเปิดกว้าง และยอมให้เกิดการผิดพลาดได้ในระดับความเสี่ยงแบบใด, ทรรศนคติของหัวหน้างานซึ่งมีส่วนร่วมในการสอนงานและการประเมินผลงาน หากไม่มีปัจจัยแวดล้อม และนโยบายสนับสนุนวิธี OJT อาจไม่ได้ผลลัพท์ที่ดีเสมอไป ในองค์กรที่มีจารีตแบบไทย การยอมรับความเสี่ยง หรือความผิดพลาดใน OJT มีน้อย สำหรับองค์กรประเภทผู้บริการชอบแต่ผลเชิงบวก ถ้าเป็นเช่นนีั้ OJT อาจจะเป็นการสืบสานวัฒนธรรมการทำงานที่ไม่ดี และมีโอกาสปรับเปลี่ยนได้ยาก
      • Simulation Base Training; SBT เป็นวิธีการที่มีมาแต่เดิม โดยจำกัดในบางอุตสาหกรรม หรือบางวิชาชีพเฉพาะเนื่องจากข้อปัญหาที่เกิดขึ้นด้านเทคนิค และมีต้นทุนที่สูง ทว่าในปัจจุบัน ด้วยเทคโนโลยี Cloud ความเร็วของอินเทอร์เน็ต สรรถนะที่สูงขึ้น และราคาที่ลดลงของ Device เช่น PC/Lactop/Tablet ทำให้การพัฒนาบุคลากรด้วยเครื่องมือและวิธีการแบบ Simulation Base ที่เคยเป็นข้อจำกัดได้น้อยลงไป  SBT ในปัจจุบัน เกิดนักพัฒนาซอฟแวร์รุ่นใหม่ ๆ ที่ช่วยนำเอาเรื่องที่ซับซ้อน, เรื่องที่ต้อง Integrated, เรื่องที่ต้องวัดผลร่วมกัน, เรื่องที่มีต้นทุนสูงในการทำความเข้าใจ และเรื่องที่ต้องการสร้างประสบการณ์ จำลองมาในรูปแบบของ Simulation ซึ่งทำให้เกิดประสบการณ์ ทำให้เรื่องที่ต้องจินตนาการ หรือมีความซับซ้อนและใช้เวลา สามารถเข้าใจได้ง่ายขึ้น และทำให้การเรียนรู้เรื่องเหล่านั้นสั้นลง ซึ่งเป็นวิธี Learning by Doing ทว่าทำบนโลกเสมือนที่เกิดความปลอดภัย ทั้งกับผู้เรียน ในกรณีของการจำลองเช่น การบิน, งานวิศวกรรม ควมเสี่ยงต่อผู้บริโภค หรือผู้มช้งาน เช่น  Simulation ด้านการแพทย์ในการผ่าตัด ซึ่งให้โอกาสในการฝึกฝน ยิ่งในปัจจุบันใรเทคโนโลนีของ VR,AR เข้ามาทำให้เกิดความสมจริงมากขึ้น หรือความปลอดภัยในเชิงธุรกิจที่รับความเสี่ยงได้ไม่มาก หรือไม่มีที่สำหรับความผิดพลาดจาด OJT แบบสังคมการทำงานแบบอนุรักษ์นิยมอย่างไทย ก็จะมี Simulation ด้านการบริหารจัดการธุรกิจ (เช่น MonsoonSIM) ซึ่งนิยมใช้ข้อมูล + หลักวิชามาผสมกัน   ทำให้ผู้เรียนสามารถทดลอง scenario ต่าง ๆ ได้ ทดลองทำผิดพลาด และเกิดการเรียนรู้ ซึ่งแนวทางของ Simulation คือ การเรียนรู้่ความผิดพลาดจากโลกเสมือน เพื่อป้องกันการผิดพลาดในโลกจริง และผู้อบรมสามารถ Simulate สถานการณ์อันเกิดจากข้อมูล สร้างระบบวิธีคิดที่เป็น Logical --> Process --> Systematic ได้ 
      • Teach Others หรือ Prodcutive Experienctial Sharing เป็นวิธีการขั้นสุด (หรือประยุกต์เอาการนำเสนอที่จริงจังมาปรับใช้) เมื่อจะต้องเป็นผู้สอนหรือผู้ถ่ายทอดวิชา หรือประสบการณ์ ควงามรู้และประสบการณ์ที่จำเป็นในการคลี่คลายปัญหาจะถูกบูรณาการเข้าด้วยกัน ซึ่งอาจจะต้องใช้ความรู้เพิ่มเติมจากการอ่าน การสืบต้น และการอ้างอิงข้อมูล ทำให้ Knowledge Base ถูกจัดกระบวนในลำดับความคิด เพื่อการถ่ายทอดให้ผู้อื่นฟัง ทว่าวิธีนี้ หากเพิ่มน้ำหนักในส่วนของประสบการณ์ลงไป หรือต้องอ้างอิง Case Study ที่เหมาะสมกับปัญหา ก็จะทำให้เกิดการค้นคว้าที่มีระดับลงไป นี่คือกระบวนการที่ครูอาจารย์ นักวิจัยใช้กัน ทว่า เหมาะสมกับ content ที่เป็นด้าน Knowledge Base  หากต้องการเน้นด้านประสบการณ์ให้เปลี่ยนการสอนผู้อื่น เป็นมุมมองของการแบ่งปันประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ ซึ่งจะทำให้ผู้ที่มาแบ่งปันประสบการณ์ต้องเรียบเรียงประสบการณ์ต่าง ๆ มาเพื่อการแบ่งปันให้ชัดเจตน และให้บทเรียนทางประสบการณ์จากผู้อื่นได้ โดยที่ไม่ต้องเน้นด้านวิชาการ แต่เน้นความรู้ความสามารถที่เกิดจากการสั่งสมประสบการณ์แทน
  • Integrated Learning and Training Mix คือ แนวทางการพัฒนาสมรรถนะของบุคลากรได้ดีที่สุด หากกระบวนการ accessment ของบุคลากรถูกทำแบบเป็นระบบ เพื่อจะ "เข้าใจ" บุคลากรแต่ละคน ในแต่ละงาน ว่า Competency ใดที่พร่อง Skills ใดที่ต้องเติมให้เต็ม ประสานกับแนวนโยบาย และโมเดลการพัมฯา และทิศทางขององค์กร ซึ่งจะทำให้ "เข้าถึง" ซึ่งปัญหาด้านสมรรถนะที่แม่นยำสูงขึ้น จึงเลือกเครื่องมือ หรือชุด Competency, Skills มา "พัฒนา" ได้อย่างถูกต้อง และกำหนดรูปแบบได้ชัดเจน (เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา เป็นปรัชญาในการพัฒนาในล้นเกล้ารัชกาลที่ ๙ ที่ทรงพระราชทานและทรงทดลองให้เห็นผลแล้วจากโครงการในพระราชดำริทั้งมวล) การผสมผสานสามารถทำได้หลากหลายรูปแบบ และเลือกให้น้ำหนัก Weighting ได้เมื่อเข้าใจ เข้าถึง ในด้านที่กล่าวมาข้างต้น ส่วนผสมในรูปแบบมีลักษณะที่แนะนำดังนี้ 
    • ​​ในยุคที่ต้องการ Collaboration ในงาน ซึ่งเป็นปลายทางที่หลายองค์กรต้องการ ต้องให้เกิด Multiple Knowledge ข้ามสายงานที่เกี่ยวข้องกันในเชนของสินค้าและบริการขององค์กร เพื่อให้เกิดการทำงานประสานกัน (Cross Functinal) และเกิดเป็นการทำงานที่มีระบบต่อเนื่องเชื่อมโยงกัน  ดังนั้นการผสมแรก คือ ส่วนผสมที่ต้อง Integrated Multiple Knowledge เข้าด้วยกัน ซึ่งโดยมากหลักสูตรภายในองค์กรมักจะมีลำดับขั้นอยู่แล้ว ทว่า การเชื่อมโยงกันนั้นในชุดวิชาอาจทำได้ยาก จากจังหวะการอบรม, Trainer มาจากที่หลากหลาย และอาจจะไม่ได้ประสานกัน หรือขาดคนที่เชื่อมโยงง่า ได้เรียนในชุดวิชาใดบ้างแล้ว ซึ่ง Training Manager ควรรับบทบาทนี้เป็นสำคัญ ​
    • ส่วนผสมระหว่าง Knowledge Base Training และ Activity Base Training ในสัดส่วนที่ลงตัว ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างการเรียนหรืออบรมที่เน้นการให้ความรู้ + โอกาสในการทดลองความรู้ หรือ โอกาสในการสร้างประสบการณ์ ส่วนผสมอาจจะเป็น เท่ากัน หรือตัวใดตัวหนึ่งมากกว่า หรือ ในสองส่วนหลักมีส่วนย่อยที่ทำงานร่วมกัน
      • ​ใช้ Knowledge Base ในสัดส่วนที่มากกว่า หรือ เท่ากับ Activity Base จะเหมาะกับ ชุด Competency หรือ Skills ใหม่ ที่กลุ่มเป้าหมายของการอบรมยังไม่มีพื้นฐานนี้ เนื่องจาก จะต้องใช้ความรู้ในเรื่องใหม่ ที่ไม่เคยเรียนรู้มาก่อน และต้องมีโอกาสสัมผัสลงมือทำ  เช่น วิชาด้าน Data Analytics ที่รู้เฉพาะหลักการ หรือ Technical ไม่ได้ ทว่าจะต้องมีการลงมือทำ และให้ข้อมูลเป็นต้วเฉลยคำตอบ ในกรณีเช่นนี้ พื้นฐานความรู้ด้านธุรกิจ และการจัดการ จะต้อง ทำงานกับ ความรู้ในการวัดผล และความเข้าใจในโมเดลทางธุรกิจ เป็นฐาน และต้องให้เกิดประสบการณ์จากการ Hands-on จึงเกิดประโยชน์ 
      • ใช้ Activity Base ในสัดส่วนที่มากกว่า Knowledge Base ในกรณีที่ ความรู้ Knowleage นั้น เป็นแบบเดิม (สายคลาสสิค) ซึ่งอาจจะมีสัดส่วนของ OJT มาก่อนและมีการผนวกกับ Knowlegde เพื่ออธิบายเหตุผลและประสบการณ์ใน OJT หรือในรูปแบบ Knowledge Base ที่เปลี่ยนรูปแบบโดยผสมผสาย Discussion ให้มากขึ้น หรือให้มีการ Decode บทเรียนไปสู่การปรับใช้งาน เป็นต้น 
      • ในลำดับของการเลือกผสมนั้น เป็นเสมือนไก่กับไข่ ต้องเลือกให้ถูกต้องว่าจะเน้นวัตถุประสงค์เช่นไร เช่น การให้เกิดประสบการณ์ก่อน จะช่วยให้เกิดคำถาม ในกระบวนการ Training by Questioning ได้ ในการเรียนการสอนเชิง Knowledge Base จากผู้เชี่ยวชาญ หรือ ในเรื่องที่ต้องมีบทบาทขจองความเสี่ยง และการป้องกันความเสี่ยง ความปลอดภัยใด ๆ อาจใช้ Knowlegde Base นำหน้า Activity Base
      • จะเป็นรูปแบบ หรือ น้ำหนัก ก็ขอให้การอบรมในครั้งต่อ ๆ ไป เพื่อให้เกิดผลลัพท์ที่แตกต่าง ก็ต้องทดลอง และหาส่วนผสมที่ลงตัวเหมาะกับสถานการณ์ ปัจจัย และข้อจำกัดของแต่ละองค์กร 
ทั้งหมดในส่วนนี้ เพื่อให้เกิดความ "เข้าใจ" ในรูปแบบและกระบวนการที่แตกต่างกัน กล่าวโดยสรุป คือ ต้องเข้าใจ วิธีการที่จะเลือกใช้ "เข้าถึง" เครื่องมือที่เหมาะสม เพื่อ "พัฒนา" บุคลากรตามวัตถุประสงค์ขององค์กร ก่อนตัดสินใจนั่นเอง ทว่ายังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอีกในหัวข้อต่อไป
ปัจจัยที่องค์กรจะสร้างบุคลากรให้เก่งคน เก่งงาน และคิดแบบผู้ประกอบการ
      การจะพัฒนาบุคลากรให้เก่งคน เก่งงาน และมีความคิดแบบผู้ประกอบการ จำจะต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนเสียก่อน จึงกำหนดกระบวนการที่นำพาการพัฒนาสมรรถนะด้านต่าง ๆ การวางเป้าหมายหลวม ๆ อาจไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้อง เพราะว่าต้องแลกกับทรัพยากรที่เสียไป เช่น เงินทุนที่ใช้ในการพัมนา เวลา และโอกาสที่เสียไปด้วย 

อะไรคือนิยามของเก่งคน เก่งงาน และคิดแบบผู้ประกอบการ
     เป็นคำถามพื้นฐานที่จะต้องลงนิยามในแต่ละองค์กรให้ชัดจนเสียก่อน (มิเช่นนั้นจะเหมือนเป้าหมายในการศึกษาหลวม ๆ ของไทย เช่น เก่งและดี) การกำหนดนิยามนี้ให้มีหลักการสอดคล้องกับ "วิสัยทัศน์" ขององค์กร เมื่อเข้าใจหลักการแรกแล้ว ทิศทางของการพัฒนาสมรรถนะของบุคลากรจะชัดเจนขึ้น 

เก่งคน  + เก่งคน มีนิยามอย่างไร 
  • องค์กรควรระบุความสัมพันธ์ระหว่าง "คน" กับ "คน" ให้ชัดเจนว่าจะให้มีความสัมพันธ์กันเช่นไร ตัวอย่างเช่น 
    • บุคลากรกับความสัมพันธ์ภายในแบบการให้บริการระหว่างกันภายในองค์กร (Internal Service) เห็นทีมที่ทำงานต่อจากงานของท่านเป็นลูกค้า และเห็นทีมที่ทำงานก่อนงานของท่านเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย วิธีการแบบนี้จะสร้างให้ "งาน" ซึ่งมองในแง่ลบคือ "ภาระ" ในคนที่มี mindset ติดลบกับงาน เป็น "บริการ" ที่ต่อเนื่องระหว่างกัน และควรให้บริการที่ดีต่อเนื่องกันไปภายในองค์กร เมื่อกำหนดรูปแบบความสัมพันธ์ตามตัวอย่างนี้ จำสามารถกำหนดทักษะที่เกี่ยวข้องได้ เช่น ทักษะการสื่อสารแบบงานบริการ ก็จะสร้างให้เกิดมธุรสวาจาในการสื่อสาร, ทักษะการแก้ปัญหาในงานของตน ก็จะสร้างบริการที่ดีที่สุด เพื่อส่งมอบต่อไปยังส่วนงานต่อไป เป็นต้น ซึ่ง "นิยาม"  จะสร้าง "action" ที่สอดคล้องกัน  จึงรู้วิธีทำงานร่วมกัน รู้จักกัน รู้วิธีการสร้างทีมให้ทีมสร้างผลลัพท์ที่ดีให้กับองค์กรอย่างมีกลยุทธ์ที่เรียกว่า "เก่งคน(จากบริการภายในองค์กร)"
    • บุคลากรที่สัมพันธ์กับส่วนนอก เช่น นิยามให้ เป็นผู้มีใจบริการ, สร้างสัมพันธ์อันดี และส่งมอบงานที่ดีที่สุดกับบุคคลภายนอกองค์กร เป็น Organizartiom Ambassasor กับ External Stakeholders  เช่น คู่ค้า, ลูกค้า และผู้ใช้ สินค้าหรือบริการนั้น ๆ  เมื่อกำหนดเช่นนี้ บุคลากรจะทำงานโดยแสดงบทบาทที่สอดคล้องกับนิยาม ยังผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงพฤติกรรม ซึ่งทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดี
    • ตัวอย่างของการกำหนดนิยามให้ชัดเจน จะทำให้เกิดพฤติกรรม และวิธีการทำงานที่แตกต่างไป ซึ่งควรเป็นส่วนหนึ่งของ วิสัยทัศน์และพันธกิจขององค์กร 
  • การเก่งงานนั้น ต้องสอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กร ซึ่งจะต้องสื่อสารให้ชัดเจน และต้อง "มีความเข้าใจตรงกัน" ทุกระดับในองค์กร การเก่งงานที่จะช่วยให้เกิดผลลัพท์กับองค์กร มิใช่ความเก่งเฉพาะบุคคล แต่ต้องเป็นการเก่งในการสายงานที่ต้องทำงานประสานกัน  เช่น 
    • เก่งประสานให้เกิดความสำเร็จในงาน (ประสานงาน ไม่ประสานงา) ด้วยเข้าใจกระบวนการทำงานภายใน ทั้ง ก่อน ระหว่าง และหลังช่วงงานของตน  โดยจะประสานงานได้เมื่อ เข้าใจกระบวนการทำงาน, เข้าใจระยะเวลา, เช้าใจและทำการตกลงเกณฑี้วัดในการส่งมอบบริการภายในซึ่งวางบนหลักการทำงานที่มีประสิทธภาพสูงสุด, เข้าใจข้อจำกัดในแต่ละกระบวนการ(หรือบริการภายใน) เมื่อเข้าใจกระบวนการทั้งหมดย่อมประสานงานได้
    • เก่งในเนื้องานของตน เพื่อให้งานที่ได้รับผิดชอบมีคุณภาพสูงส่งมอบไปยังกระบวนการต่อไป 
    • เก่งงานต้องเก่งคน เป็นของคู่กัน เพื่อลดปัญหาความขัดแย้ง จะเก่งแต่งานไม่ได้ แต่ต้องเก่งชนะมิตรและจูงใจคน (แบบเดล คาร์เนกี้)
    • เก่งในการมองประโยชน์รวม และเก่งในการประณีประนอมเพื่อสร้างผลลัพท์ที่ดีร่วมกันในสถานการณ์ต่าง ๆ 
       ความเก่งมีหลายแบบ ขึ้นอยู่กับว่าจะสร้าง "นิยาม" และความหมายอย่างไร ทว่า ต้องให้น้ำหนักเหมาะสม คือ มีความเก่งสองลักษณะในคนหนึ่งคน ส่วนจะสีสัดส่วนมากหนึ่งน้อยขึ้นอยู่กับว่าอยู่ในความรับผิดชอบ และลักษณะงานแบบใด เช่น ในงานด้านเทคนิค นั้น เก่งงานต้องมีสัดส่วนมากกว่าเก่งคน, ในงานด้านบริการเก่งคนควรมีน้ำหนักมากกว่าเก่งงาน ซึ่งเป็น Dual Compentency ซึ่งจะต้องมีทั้ง 2 ลักษณะในบุคลากรทุกคน การให้น้ำหนักด้านใดด้านหนึ่ง องค์กรจะพบปัญหา เช่น คนมีความสามารถสูงแต่เข้ากับเพื่อนร่วมงานไม่ได้ หรือ มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี แต่ไม่มีความเชี่ยวงานเลย เป็นต้น 

หากพูดในเชิงเทคนิค คือ การพัฒนาทั้งสมองซีกซ้ายและสมองซีกขวา 
หากพูดในเชิงจิตวิทยา และการเรียนรู้ คือ  การผสมผสานศาสตร์และศิลป์เข้าด้วยกัน
หากพูดในเชิงปรัชญา คือ ให้มีทั้งอ่อนและแข็ง เหตุผลและอารมณ์ หรือในหยินหยาง ในหยางมีหยิน 

Picture
การคิดแบบผู้ประกอบการ (ในองค์กร) (Think as (Corporate) Entrepreneurs)
      ปัญหาหลักซึ่งเป็นที่มาของโจทย์สำคัญ คือ บุคลากรทำงานในหน้าที่ความรับผิดชอบเฉพาะของตน ไม่มองภาพรวม ไม่สนใจผลกระทบที่มีต่อส่วนงานอื่น ๆ ไม่มีความเป็นเข้าภาพร่วมในความสำเร็จ หรือการแก้ปัญหาขององค์กร ฯลฯ ลักษณะเช่นนี้ ทำให้ผู้บริหารมักมองปัญหาและปรารภว่า หากทำให้บุคลากรในองค์กรคิดแบบผู้ประกอบการได้ก็จะแก้ปัญหาได้ ซึ่งผู้เขียนเห็นว่ามีทั้งข้อสนับสนุน และข้อโต้แย้งจากแนวความคิดนี้
  • หาก "นิยาม" ของ "ผู้ประกอบการในองค์กร (Corporate Entrepreneur+(ship))" ซึ่งจากนี้จะต่อว่า CE ไม่ถูกกำหนดให้ชัดเจน ว่าการประกอบการที่ต้องการมีความหมายอย่างไร ก็เหมือนกันอาจโก่งหน้าไม้แล้วยิงออกไป โดยยังไม่เห็นเป้าหมายก็เป็นไปได้  ดังนั้นจึงควรนิยามให้ชัดเจนว่า จะเอาจิตลักษณะแบบใดมาใช้กับองค์กร มิเช่นนั้นอาจจะได้ผลลัพท์จากนิยามแง่ลบ หรือนิยามที่ไม่ชัดของผู้ประกอบการ (ไม่ควรแปลว่า เจ้าของกิจการ ในทุกกรณี สำหรับ CE Concepts)
  • หากองค์กรมีนิยามที่ชัดเจนของ CE แล้ว องค์กรมี Ecosystem ที่เอื้อให้เกิดสภาวะ CE และ ทำให้บุคลากรที่มีสภาวะ CE แล้วอยู่ใน Environment ที่เหมาะสมได้หรือไม่ องค์กรที่ต้องการสภาวะ CE ของบุคลากร มันเป็นองค์กรที่มีสภาพแวดล้อมไม่เอื้อให้เกิด หรือ มัดใจบุคลากร CE ให้อยู่กับองค์กรได้ เช่น มีกฎเกณฑ์ และขั้นตอนที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง, ไม่มีนโยบาย หรือวิธีการให้กระบวนการใหม่ วิธีใหม่ คนใหม่ ได้เกิด เติบโตในหน้าที่การงาน หากเป็นเช่นนี้แล้ว การสร้าง CE ได้นั้น จะไม่มี บุคลากรที่มีสภาพ CE อยู่ในองค์กร อาจจะไหลออกจากองค์กรไปยังที่อื่น ๆ ได้ 
เหล่านี้เป็นข้อโต้แย้งที่ว่า อย่าปักใจที่จะสร้างให้เกิด CE ในระดับบุคลากรอย่างเดียว ทว่าต้องสร้าง CE-Organization ด้วย 
Picture
กำหนด scope ของ CE ที่ต้องการ และ Drive ให้เกิด Corporate Enterpreneursip Mindset
(หมายเหตุ: นิยามนั้น ควรจะถูกกำหนดในแต่ละองค์กร ซึ่งอาจจะมีความเหมือนหรือแตกต่างกันกับตัวอย่างนิยามนี้)
    Corporate Entrepreneur คือ นักบริหารจัดการงานในองค์กรที่มีแนวคิด และวิธีการตัดสินใจแบบผู้ประกอบการ ซึ่งเน้นการแก้ปัญหา และผลลัพท์ที่ดีที่สุด บนข้อจำกัดของสภาพแวดล้อมและทรัพยากร เป็นคำนิยามในที่นี้ ซึ่งจะกำหนดคุณลักษณะ จากแนวคิดและวิธีการตัดสินใจแบบผู้ประกอบการ โดยมีตัวอย่างคร่าว ๆ ดังนี้
  • คิดถึงผลประโยชน์เชิงบวกที่ส่งผลดีต่อกิจการ ทว่ายังคงอยู่ในการทำงานที่เป็นระบบขององค์กร (มีเกณฑ์ กฎ เพื่อป้องกันการละเมิด, ตรวจสอบ และวัดผลได้) ซึ่งข้อนี้อาจแตกต่างจากผู้ประกอบการที่เล็งเห็นผลเชิงบวก แต่อาจไม่เลือกวิธีที่ถูกต้อง หรือเป็นระบบ 
  • ใช้ทุนน้อย แต่ได้ผลประโยชน์มาก (ซึ่งทุนอาจหมายถึง ตัวเงินลงทุน, เวลาที่ถูกใช้ไป, เครื่องจักร, สินค้า, คน หรือ เทคโนโลยี) ซึ่งการใช้ทุนใด ๆ ให้น้อยนั้น เป็นจุดแตกต่างในความคิดของบุคลากรในองค์กร ที่อาจจะมีทรัพยากรที่กำหนดมาและใช้อย่างไม่รู้ค่า เนื่องจากได้มากซึ่งทุนโดยไม่ต้องลงทุน (ซึ่งวิธีคิดแบบนี้แตกต่างจากผู้ประกอบการ ที่ออกทุนเอง จึงเน้นการใช้ทุนให้น้อย และมีประสิทธิภาพ ซึ่งในแง่นี้ องค์กรภาคเอกชนรู้ค่าในทุน แตกต่างจากองค์กรภาครัฐ)
  • ใช้ความสามารถสูงสุด + ความพยายามสูงสุด + ความอุตสาหะสูงสุดในการทำงาน หรือการแก้ไขปัญหาเพื่อให้ได้ผลลัพท์ที่ดีกว่า (เป็น Mindset Classic ของผู้ประกอบการ ซึ่งอาจจะแตกต่างจาก Conventional Mindset ของผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ซึ่งอาจจะย่อหย่อนในการใช้ความสามารถเนื่องจากพึ่งพาเทคโนโลยีในการทำงานแทน ซึ่งเป็นแนวคิดของผู้ประกอบการสมัยใหม่ -- อย่างที่แจ้งไว้ คือ การไม่ขีดเส้น หรือจำกัดนิยาม อาจเป็นผลร้ายหรือดีขึ้นอยู่กับรุปแบบขององค์กร) ซึ่งเป็นลักษณะของผู้ประกอบการ ซึ่งมีแนวคิดที่ว่า "ทำดีเท่าไหร่ย่อมได้ผลตอบแทนแก่ตัวเอง" ซึ่งแตกต่างจากบุคลากรในองค์กรที่มีระดับ Mindset CE แตกต่างกัน (ดูภาพด้านบนประกอบ; Ordinary Man Mindset ซึ่งเชื่อว่า ทำดีหรือแย่อย่างไร ก็ได้ผลตอบแทนเท่าเดิม สู้ทำไปตามที่ได้รับคำสั่งก็เพียงพอ, Stakeholder Mindset; ในฐานะบุลากร เรามีส่วนร่วมในความสำเร็จ และความล้มเหลวขององค์กร, Growth Mindset; ทำงานที่ได้รับมอบหมายแบบมืออาชีพให้สมกับค่าจ้างและความไว่้วางใจ  และ CE Mindset; พัฒนาปรับปรุงสิ่งที่ทำให้ดีขึ้น และสมบูรณ์เพื่อประโยชน์ขององค์กร และประโยชน์ของตัวเอง) 
 
      หลักการที่สำคัญที่เป็นกุญแจแห่งการเปลี่ยนแปลง คือ กำหนดนิยามให้ชัดเจน ว่ามีมุมใดบ้างที่เป็นคุณลักษณะของ CE ที่องค์กรต้องการ และหลังจากนั้นจึงส่งเสริมให้เกิด mindset ด้วยการสนับสนุนด้านนโยบายที่จะต้องถูกปรับเปลี่ยนเพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะ CE ที่ต้องการ ความล้มเหลวในเชิงการปรับเปลี่ยนนโยบาย และ Organization Structure จะเป็นอุปสรรคสำคัญที่ คุมกำเนิดการเกิดขึ้นของ CE ในองค์กร
​
Picture
การบ่มเพาะ CE Mindset ในองค์กร เพื่อให้ Mindset กำหนด Action และเปลี่ยนองค์กรไปตลอดการ
    Mindset เป็นเรื่องที่จ้องทำความเข้าใจ  เมื่อ Mind Set Action หมายถึง จิตใจความรู้สึก กำหนดกิจกรรมที่ทำ เพราะว่าการสร้าง Mindset นั้น ไม่เหมือนความรู้ และทักษะ ที่อบรม, สอน, ลงมือทำ และจะได้มา ทว่า จะต้อง "สร้าง" 3E ให้เกิดขึ้น ได้แก่ สร้าง E-Education ในที่นี้ไม่ใช่การ lecture แต่เป็นการให้ตระหนักรู้ถึงประโยชน์ที่บูรณาการระหว่าง ระดับของบุคคล ระดับขององค์กร, สร้าง E-Environment ที่เกิดเป็นสิ่งแวดล้อมที่จูงใจ เช่น การปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์บางเรื่อง, การสร้างโครงการแนวใหม่ในองค์กรเพื่อประโยชน์ร่วมกัน, การให้แรงจูงใจ, การปรับ Organization ให้สอดคล้อง, การสร้างตัวชี้วัดที่ไม่คุมกำเนิดวิธีการใหม่ในองค์กร เป็นต้น และ E-Experience คือ เอื้อให้เกิดประสบการณ์ที่เห็นข้อดีของการเปลี่ยนทัศนคติเป็น CE เพื่อสร้างให้ E-Education ที่สร้างให้ตระหนักในประโยชน์เกิดปเ็นรูปธรรม  สิ่งเหล่านี้จะรวมพลังให้เกิดทัศนคติ CE ที่เปลี่ยนแปลงกิจกรรม (วิธีคิด, วิธีแก้ปัญหา) บนทัศนคติใหม่ เมื่อทำบ่อยครั้งเข้าก็จะเกิดเป็นสิ่งที่ติดตัวบุคคลในระดับนิสัย (กมลสันดาน) และเมื่อสร้างจำนวน CE มากพอ ก็จะเป็น New Culture ให้องค์กร ตัวอย่างเช่น 
ต้องการให้เกิดการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า ต้องให้ E-Education ว่า จะแปรความพยายามนี้เป็นตัวมูลค่าและคุณค่าระดับบุคคล และองค์กรได้อย่างไร เช่น ความพยายามในการลดขั้นตอนในการผลิต ลด defect จะช่วยให้ประหยัดเป็นเม็ดเงินได้เท่าไหร่ และเม็ดเงินเหล่านั้น ตอบแทนกลับมาในรูปแบบใดทั้งในระดับบุคคล เช่น ได้รับสวัสดิการเพิ่มขึ้นจากการร่วมใจนี้ โดยสร้างโครงการ ให้บุคลากรมีส่วนร่วมในการออกความคิด และลงมือทำ (E-Environmen และ E-Experienec ตามลำดับ) 
    ส่วนกระบวนการนั้น ให้เริ่มจากเรื่องง่าย ๆ ที่เห็นผลอย่างรวดเร็วเพื่อสร้างแรงจูงใจ และสร้างให้โครงการแรกสำเร็จเป็นรูปธรรม องค์กรจะได้วิธีการแก้ปัญหา ซึ่งมีพื้นฐานวิธีคิดของนักประกอบการ

Picture
สร้างการเปลี่ยนแปลงแบบ CE คิดแบบ CE และ ทำแบบ CE คือหัวใจ ซึ่ง องค์กรที่กำลังขาดสภาพคล่องด้าน CE ให้เริ่มต้นตามวงล้อ reference ด้านบน
Picture
โปรดสละเวลาชม Clip เพื่อความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นใน MonsoonSIM
คำอธิบายเกี่ยวกับ MonsoonSIM แสดงให้เห็นถึงรายละเอียดของ MonsoonSIM Modules ต่าง ๆ ความเข้าใจเรื่องการสร้างประสบการณ์ที่ Business Process มีความซับซ้อนในโลกการทำงานจริง 
บรรยากาศในระหว่าง MonsoonSIM Workshop และ Testimonial จากการอบรมบุคลากรในภาคธุรกิจ และบางส่วนจากภาคการศึกษา

Note: Clip นี้ถูกสร้างใน Version 3.08 ซึ่งเน้นเรื่อง ERP Integration ปัจจุบัน MonsoonSIM พัฒนามาถึง Version 9.0 ซึ่งมี Business Concepts ที่เพิ่มขึ้นมาก เพื่อสร้างประสบการณ์ให้กับผู้อบรม

Picture
MonsoonSIM Simulation Based Training พัฒนาบุคลากรให้เก่งคน เก่งงาน และคิดแบบผู้ประกอบการได้อย่างไร
​​     MonsoonSIM เป็น Business Simulation Learning and Training Platform บน Cloud ที่สร้างประสบการณ์จำลองให้บริหารจัดการธุรกิจ ซึ่งสะท้อนความเข้าใจการบริหารจัดการที่มีคุณภาพ และวัดผลได้ด้วยดัชนีต่าง ๆ ทางธุรกิจ โดยใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาสมรรถนะของบุคลากรในองค์กรให้เกิดประโยชน์ได้ดังนี้ 

เก่งคน ซึ่งใน MonsoonSIM หมายถึง รู้จักวิธีสื่อสารกับบุคคลอื่น ๆ ที่มาจากหลากหลายพื้นฐาน (แผนก) มีรูปแบบ และวิธีการทำงาน (สไตล์) ที่แตกต่างกันไปจากงานประจำที่ติดตัวแต่ละท่านมาเป็นวิธีคิด วิธีตัดสินใจ วิธีสื่อสารที่มีรูปแบบหลากหลาย 
  • ในกระบวนการอบรม จะใช้การแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4-6 คน ซึ่งแนะนำให้คละแผนก คละวัย เพื่อจะได้มีประสบการณ์ร่วมกันในภารกิจบริหารธุรกิจจำลอง
  • ใน Workshop ของ MonsoonSIM จะมีกระบวนการให้เกิดการ วิเคราะห์ข้อมูล (Data Driven Decision) สำหรับวางแผน และผลลัพท์ที่เกิดขึ้น, หารือ Brain Stroming เพื่อกำหนดแผน และแบ่งงานกันทำ และทำงานประสานกันเป็นทีม (Collaborate and Teamwork) ซึ่งทีมจะต้องสื่อสารให้มีประสิทธิภาพ (Effective Communication) โดยต้องเข้าใจกระบวนการทำงาน และออกแบบการทำงานร่วมกัน (ฺBusinness Process Management)  
  • ผู้เข้าอบรมใน Workshop จะได้รับประสบการณ์ในการทำงานร่วมกัน เรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้าหากันในระหว่าง Workshop โดยได้รับประสบการณ์จริง ซึ่งจะช่วยให้มีทักษะระหว่างบุคคล (Inter Personal Skills) มากขึ้นไปด้วย 
  • ประสบการณ์ใน Simulation เพื่อสร้างให้เก่งคน ความคาดหวังที่เกิดขึ้นจากการทยอยให้เกิด ต้องอาศัยจำนวนของบุคลากรที่เข้าร่วมเป็นตัวแปร และเมื่อบุคลากรมีความรู้จักเข้าใจกันจากประสบการณ์ใน Simulation ความรู้จักคุ้นเคยกันจะทำให้เกิดความสัมพันธ์กันระหว่างบุคคลกรของแผนกต่าง ๆ และกลายเป็นความสัมพันธ์ในระหว่างแผนกบนความเข้าใจระหว่างกันที่สร้างจาก Simulation Base Training

เก่งงาน ซึ่งใน MonsoonSIM เกิดความเข้าใจในกระบวนงาน, ข้อจำกัดที่มีผลต่อรูปแบบการตัดสินใจ, เกณฑ์วัดผล, ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นกับธุรกิจของงานในส่วนนั้่นและผลกระทบต่อฝ่ายงานอื่น ๆ และภาพรวมของกิจการ 
  • ในส่วนของประสบการณ์จำลองรายบุคคล ผู้เข้าร่วม Workshop จะต้องมีความเข้าใจเรื่องงานของตน 7 ประการาตาม Circle Knowledge of MonsoonSIM ได้แก่ 
    • ​Duties รู้จักหน้าที่ของงานนั้น  ๆ เพื่อสร้างกิจกรรมในงานให้สอดคล้องกันเพื่อแก้ปัญหา และสร้างประสิทธิภาพ (Problem Solving)
    • Document and Data ชุดข้อมูลและเอกสารในงานแต่ละงาน (Dara Driven Decision and Communicate by Data)
    • KPIs (Key Performance Indicators) รู้จักการวัดผลและตัวชี้วัดของงานนั้น ๆ (Evaluation and Data Analytics)
    • KRIs (Key Risk Indicators) รู้จักตัวแปร และปัจจัยที่เป็นความเสี่ยงในงานนั้น ๆ (Evaluation and Data Analytics) 
    • Process รู้จักกระบวนการทำงานที่เกี่ยวข้องกับงานที่ได้รับมอบหมาย ทั้งก่อน และหลังความรับผิดชอบของตน (Collaborative)
    • People รู้จักบุคลากรที่ต้องทำงานประสานด้วยกัน และส่งมอบ "Internal Services" ระหว่างกัน (Teamwork)
    • Technology and Innovation รู้จักที่จะใช้กระบวนการ หรือเครื่องมือที่เป็นฐานของงานนั้น ๆ ให้เกิดประโยชน์สูงที่สุด (Resources)       
  • ในส่วนของการทำงาน Cross Functional ใน Process / Internal and External Chain เมื่อนำ Circle Knowledge ของแต่ละงาน แต่ละคน มาประสานสอดคล้องกัน จะทำให้เกิดความเข้าในในการทำงานร่วมกัน เช่น จะต้องนำส่งข้อมูลสำคัญใดบ้างในกระบวนการทำงาน และต้องสื่อสารกับใครบ้างในงานที่เกี่ยวข้อง 
 ประสบการณ์ และความเข้าใจเหล่านี้ นำไปสู่การเก่งงานที่สร้างได้จาก Simulation Base Training กับ MonsoonSIM ซึ่งต้องมีเวลาที่เหมาะสม ซึ่งควรปรึกษากับ Faciliatator ของ MonsoonSIM ถึงระยะเวลาและรูปแบบที่เหมาะสมต่อไป

​คิดแบบผู้ประกอบการ ซึ่งใน MonsoonSIM จะทำให้แนวคิดแบบนักประกอบการ (นักวางแผน เพื่อแก้ปัญหา บนข้อจำกัดด้านทรัพยากร) เป็นประสบการณ์ตรง ซึ่งใน MonsoonSIM จะสะท้อนแนวคิดแบบนักประกอบการได้ดังนี้ 
  • มีข้อมูลที่แสดงเพื่อสร้างให้เกิดการตัดสินใจที่ดีที่สุด สร้างกระบวนการวางแผน การเลือกโมเดลทางธุรกิจ เช่น ในตลาดแต่ละ Location จะมีข้อมูล เช่น ข้อมูลประชากร, ความหนาแน่นของประชากร, ในกิจกรรมย่อย ๆ เช่น การจัดซื้อ จะมีข้อจำกัด และข้อเสนอที่มีผลเชิงบวกและลบในการประกอบการให้ตัดสินใจ ค่าและข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นปัญหาพื้นฐานในทางธุรกิจ ที่ผู้ประกอบการจะต้องเลือกตัดสินใจ
  • มีข้อมูลที่แสดงผลของการจัดสินใจในรายกิจกรรม เช่น average cost ที่เกิดจากกระบวนการได้มาซึ่งสินค้า ทั้งในแบบ Outsourcing และ Self Production, ค่า Utilization ของเครื่องจักร และการใช้พื้นที่, รายงานยอดขายแต่ะละชนิดสินค้า เป็นต้น และข้อในภาพรวมในรูปแบบของ งบดุล, สถานทางการเงิน เช่น สภาพคล่อง, มูลหนี้ รายได้คงค้าง ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลด้านการเงินและการบัญชีเพื่อการบริหารธุรกิจ 
  • ข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้ สอดคล้องกับการตัดสินใจชั้นหนึ่ง และได้รับกระทบจากคู่แข่ง (ทีมอื่น ๆ) ที่มีประสิทธิภาพ และตัดสินใจได้ดีกว่า ซึ่งทำให้ผู้เข้าอบรมเข้าใจ relationship ระหว่าง คุณภาพของงาน การตัดสินใจ ระยะเวลา และผลลัพท์ในทางธุรกิจ ซึ่งเป็นชุดประสบการณ์สำหรับนักประกอบการที่ดี 
  • ข้อมูลเหล่านี้เป็น Real Time  และเป็น Dynamic ทำให้เกิดปัญหาที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งผู้เข้าอบรมจะต้องปรับเปลี่ยนแผนการทำงาน ไปตามสถานการณ์ ซึ่งมีความหลากหลาย ในระหว่าง Workshop จะมีช่วงเวลาให้ brainstrom กับทีม มีคำแนะนำ และประเด็นต่าง ๆ จาก Facilitator เพื่อให้เกิดประสบการณ์ในการปรับปรุงคุณภาพของแต่ละงาน ซึ่งจะส่งผลรวมต่อภาพรวมของกิจการ ซึ่งประสบการณ์นี้อาจไม่ได้รับในการ Training รูปแบบอื่น ๆ
  • ไม่มีความรู้ได้จะใช้ได้หากไม่มีโอกาสในการลงมือทำ ซึ่ง Simulation Base จะสะท้อนคุณภาพของการประกอบการ ซึ่งมาจากแนวคิด และวิธีการตัดสินใจ ซึ่งนักประกอบการจะต้องสั่งสมประสบการณ์เพื่อประกอบการตัดสินใจ ควบรวมกับชุดความรู้อื่น ๆ อย่างบูรณาการ 
  • ใน MonsoonSIM ให้ประสบการณ์ด้าน ERP และ Automate Workflow ซึ่งผู้ประกอบการรุ่นใหม่ในองค์กรความมี Competency นี้ 

ด้วยเหตุผลในด้านต่าง ๆ ที่ MonsoonSIM สร้างประสบการณ์ให้จึงเป็น Simulation Base Training ที่ช่วยให้ เก่งคน เก่งงาน และคิดแบบผู้ประกอบการได้ นอกจากนี้ใน Workhop ของ MonsoonSIM ​ ใช้รูปแบบวิธีการพัฒนาบุคลากรที่หลากหลาย ทั้ง Knowledge Base และ Activity Base หลายหลายรูปแบบผสมกัน ใช้ Team Base, Problem Base ผ่านการ Discussion และมี Framework ต่าง ๆ จากสาขาความรู้ต่าง ๆ ผสมกันในระหว่าง Workshop

ทั้งนี้ไม่มีการอบรมใด ๆ ในระยะเวลาที่จำกัดเปลี่ยนแปลง "ทุกคน" ได้ ทว่า การให้ประสบการณ์จำลอง มีโอกาสในโลกทำงานจริง จะทำให้ "คนส่วนมาก" เข้าใจและเกิดการปรับเปลี่ยนการทำงาน กระจายไปในหลายส่วนของงานในองค์กร ซึ่งองค์กรจะต้องเข้าใจในหลักการและข้อจำกัดนี้ประกอบกันกับการวัดผลที่วัดเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง มิใช่การวัดเพื่อทำลาย หรือเป็นการเมืองภายในองค์กร ให้ใช้พลังบวกสร้างผลลัพท์เชิงบวกในองค์กรของท่าน

หากท่านมีความสนใจใน Simulation Base Training ที่ทำให้เก่งคน เก่งงาน และคิดแบบผู้ประกอบการ สามารถติดต่อผ่านพันธมิตรตัวแทนของ MonsoonSIM ประเทศไทย เพื่อนัดหมายใน Presentation และ Demo พร้อมตอบคำถามให้กับองค์กรของท่าน ซึ่งพร้อมให้บริการทั้งในรูปแบบ Online และ Onsite และ In-house Training 

เปลี่ยนผลลัพท์ด้วยการเปลี่ยนรูปแบบการพัฒนาบุคลากรในองค์กรของท่านด้วย MonsoonSIM Simulation Base Training
MonsoonSIM Thailand

Picture



0 Comments

MonsoonSIM เครื่องมือที่ช่วยให้เข้าใจ Business Processes พื้นฐานไปสู่ความเข้าใจ ERP

6/7/2021

0 Comments

 
Picture
Credit Photo: https://toperppartners.com/blog/erp-implementation-process/
ERP หรือ ระบบบริหารจัดการ Enterprise Resouces Planning หรือชุด Software ที่ทำงานประสานกัน มีอายุกว่า 40 ปี แล้วหากนับจากปัจจุบัน (2564) เป็นระบบที่พัฒนา เติบโต และใช้งานกันอย่างแพร่หลายในประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็นในเยอรมันที่เป็นแหล่งกำเนิดของ SAP ERP ในสหรัฐอเมริกา เช่น Oracle และ Microsoft ซึ่ง big name เหล่านี้มีส่วนแบ่งทางการตลาด ERP เป็นอันดับต้น ๆ ทั้งนี้ยังไม่รวมจำนวน In-house ERP ต่าง ๆ ที่มีจำนวนมากมาย  และยิ่งในปัจจุบัน ที่ Internet Connection รวดเร็วขึ้น มีการบริการ Cloud Computing ซึ่งทำให้ ระบบ ERP ที่เคยอยู่บน Data Center หรือบน Server ขนาดใหญ่ สามารถให้บริการบนระบบ Cloud และเริ่มเป็นที่นิยม เนื่องจากสามารถเริ่มต้นใช้งานได้รวดเร็ว มีต้นทุนด้าน Infrastructure ที่ลดลงมาก รวมไปถึงมีผู้ให้บริการด้าน ERP รายน้อยใหญ่เกิดขึ้นจำนวนมาก และบริการด้าน ERP เองก็มีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับอุตสาหกรรมต่าง ๆ มากขึ้น เกิดเป็นชุดบริการด้าน Software เฉพาะรายอุตสาหกรรม  

ERP เริ่มเป็นที่นิยมในเฉพาะภาคของธุรกิจ Enterprise และหน่วยงานขนาดใหญ่ 
หรือแม้แต่ภาครัฐเริ่มเข้าสู่กระบวนการ Digitalization ซึ่งระบบบริการ และข้อมูลต่าง ๆ ก็อยู่บนฐานของชุด Software ERP และเมื่อบริการต่าง ๆ มีต้นทุนน้อยลงธุรกิจในระกับ Medium Size ก็เป็นกลุ่มธุรกิจต่อไป และในโลกของ ERP เองก็มีชุด software ขนาดเล็กสำหรับ Medium to Small size เกิดขึ้น เท่ากับว่าการใช้ ERP เมื่อเทียบกับ 40-20 ปีก่อน มีการเติบโตขึ้นมาก ทั่วโลกมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกัน และในประเทศไทยเองก็ไปในทอศทางเดียวกัน 

บุคลากรที่มีความเข้าใจเรื่อง ERP เพื่อการใช้งาน หรือสามารถวิเคราะห์ข้อมูลจากส่วนงานต่าง ๆ ของ ERP เพื่อประโยชน์ทางด้านธุรกิจมีความต้องการมากขึ้น ทั้งนี้ยัไงม่รวมด้าน Technical ที่เป็นที่ต้องการมากแต่ยังขาดแคลน ภาคการศึกษาต่างพยายามผลิตบัณฑิตเพื่อป้อนเข้าสู่ตลาด ในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศอินโดนีเซีย และมาเลเซีย เป็นทั้งแหล่งงานและแหล่งผลิตบุคคลากรในสาย ERP Technical, ERP Business นั่นยังไม่รวมความสามารถด้านการประเมินสถิติ การเขียน Coding ต่าง ๆ ซึ่งอินเดียมีความเชี่ยวชาญด้านนี้สูงมาก   

ในประเทศไทยมีมหาวิทยาลัยเปิดสอนในสาขาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ซี่งแบ่งสายการผลิตบัณฑิตเป็นด้าน Infrastructure ที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็น Network Storage, Server และ Security System กับสายด้าน Software หรือนิยมเรียกว่าสาย Application เช่น Coding ในภาษาต่าง ๆ รวมไปถึงมีบ้างที่เปิดสอนในสาขาวิชา ERP  ทว่ามหาวิทยาลัยในประเทศไทยที่เปิดสอนสาขา ERP โดยเฉพาะนั้นมีน้อยมาก  ในอดีตมีการพยายามสร้าง Academy ในมหาวิทยาลัยเพื่อต้องการสร้างตลาด และบุคลากรเพื่อป้อนภาคอุตสาหกรรม และบริการ ในยุค 10-15 ปีก่อน มีการผลักดันจาก ERP Vendor และ IT Vendor ลงไปยังมหาวิทยาลัย เพื่อรองรับการเติบโตนี้ ซึ่งสามารถผลิตบุคลากรด้าน IT ออกมายังตลาดได้ แต่ยังเกิดปัญหาสำหรับด้าน ERP ซึ่งต้องใช้ความเข้าใจด้านธุรกิจประกอบ และมหาวิทยาลัยที่เปิดสอน IT ในประเทศไทยนั้นมีปัญหาในการผลิตนักศึกษา IT ที่มี Competency ด้านธุรกิจร่วมด้วย

การเรียนการสอน ERP ในสถาบันการศึกษาของไทยมักมีปัญหาต่าง ๆ ดังนี้
  • วิสัยทัศน์ในการผลิตบัณฑิตที่่มี Multiple Competency and Skill เป็นเพียงนโยบายชูโรง โดยพันธกิจตั้งไว้หลวม ๆ ส่วนกระบวนการดำเนินการนั้นไม่เป็นไปตามพันธกิจ เพราะว่าปัญหาเรื่องทรัพยากรในชั้นเรียน ความรู้ความสามารถและประสบการณ์ของบุคลากรมีไม่เพียงพอ 
  • ขาดเครื่องมือในการเรียนการสอน ซึ่งในอดีตนั้น Server, Storage รวมไปถึง License ด้านการศึกษามีต้นทุนสูงมาก ทำให้โอกาสที่จะเกิดการเรียนการสอนในเชิง Hands-on มีน้อยมาก  ในช่วง 10-15 ปีก่อน การเกิดขึ้นของ Academy ในความร่วมมือของ IT และ ERP Vendors เกิดขึ้นบ้าง แต่มีจุดประสงค์ในการทำตลาดในกลุ่มมหาวิทยาลัยเพื่อการใช้งานภายใน ส่วนในการศึกษาจริง ๆ นั้น มักติดปัญหาเรื่องจำนวนสิทธิการเข้าใช้ ในยุคต่อมา มีการบริหาร Dedicated Server ทั้งแบบถูกต้อง และผิดกฎหมาย ผ่านระบบออนไลน์บ้าง แต่สำหรับภาคการศึกษาของไทยถือเป็นต้นทุนที่สูง โอกาสของนักศึกษาไทยจึงมีน้อยมากที่จะเกิดประสบการณ์ตรงจาก Hands on ในปัจจุบันระบบมีระบบของ e-academy เช่น SAP e-Academy ทว่า ต้นทุนต่อ Users ก็ยังอยู่ในหลักที่การศึกษาไทยตีความว่าสูง 
  • การสนับสนุนและการวัดผลของธุรกิจการศึกษา เนื่องจากการศึกษา IT และ ERP มีต้นทุนสูง และในปัจจุบันอาจมีจำนวนผู้เรียนในสาย ERP ไม่มาก และไปเติบโตในสาย Application หรือ Game และ Entertainment แทน เมื่อเกิดความไม่คุ้มค่าในการลงทุน ทำให้มหาวิทยาลัยเลือกที่จะมีสาขาวิชาที่สอนนี้เพื่อประดับหลักสูตร แต่การส่งเสริมมีน้อยมาก และเมื่อผลิตน้อย เหลือรอดน้อย ออกไปสู่ตลาดแรงงานก็น้อยเช่นกัน (ซึ่งแตกต่างจากสถานการณ์ของเพื่อนบ้านเช่น อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ที่การผลิตบัณฑิตในสาขานี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งจำนวนและคุณภาพ)
  • ปัญหาด้านความรู้พื้นฐานซึ่งแบ่งออกเป็น 
    • ​ความรู้ที่ควรมีประกอบกันคือ ความรู้ด้าน Infrastructure และความรู้ด้าน ERP Application ซึ่งต้องประสานกัน ซึ่งภาค IT ส่วนมากเรียนแยกส่วนกัน หรือมีเพียงวิชาประเภทให้ข้อมูล ในชีิวิตการทำงานจริง Consultant ในไทย ก็เป็นตัวกลางระหว่าง Vendors ด้าน Infrastructure และ ERP App  ในการ implement ร่วมกัน ทว่าในยุค Cloud ปัญหานี้อาจลดน้อยลงแล้ว และอาจไม่เป็นนัยยะสำคัญ
    • ความรู้เรื่องกระบวนการทางธุรกิจในอุตสาหกรรม และธุรกิจที่มีการบริการที่แตกต่างกัน นับเป็นปัญหามากที่สุดในการเรียนการสอนเรื่องนี้ ซึ่งเป็นปัญหาต่อเนื่องจนกระทั่งในปัจจุบันก็ยังไม่ได้แก้ไข  ในมหาวิทยาลัย วิชาสาย IT กับ สายธุรกิจ เรียนแยกและไม่บูรณาการร่วมกัน วิชาที่ต้องอาศัยทั้งสองด้านประสานกันอย่าง ERP จึงมีข้อจำกัดในชั้นเรียน 
    • บุคลากรในด้านการศึกษาสาขานี้ อาจมีประสบการณ์ในด้านต่าง ๆ ที่ครอบคลุมไม่เพียงพอ
    • รูปแบบการเรียนการสอนที่สอนให้ "จำ" เพื่อ "สอบให้ผ่าน" ไม่ได้สอนให้ "ทำเพื่อไปใช้งานได้จริง" ทั้งที่เกิดในสาขาด้านนี้ และสาขาวิชาอื่น ๆ 
    • ข้อจำกัดเรื่องภาษาอังกฤษ เนื่องจากคู่มือและแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ เป็นภาษาอังกฤษ 
    • ข้อจำกัดด้าน Coding และ Logical ที่เรียงร้อยไปกับ Business Processes ที่นักศึกษาด้าน IT มีหน่วยกิตด้านการเรียนธุรกิตน้อยมาก และ วิชาเหล่านั้นไม่ระบุประโยชน์ว่จะไปผนวกกับวิชาหลักด้าน IT อย่างไร เพราะว่าการเรียนการสอนของไทยเป็น Silo Base Learning แต่โฆษณาว่าเป็น Integreated Knowledge 

ปัญหาด้านอื่น ๆ 
  • ​ความเข้าใจของพ่อแม่ผู้ปกครองซึ่งรู้จักสาขาวิชานี้ และอาชีพเหล่านี้น้อยมาก ประกอบกับเทรนด์ของนักศึกษาไทย ในปัจจุบันที่มีสัดส่วนของผู้เรียนที่อยากเรียนเรื่องที่ซับซ้อน และใช้ความมานะน้อยลงทำให้สาขาวิชาเหล่านี้มีผู้สมัครเข้าเรียนจำนวนน้อยลงเรื่อย ๆ และที่จบออกมาเป็นบัณฑิตทำงานตรงสายอาชีพก็น้อยลงไปอีกขั้น ส่วนบัณฑิตที่ยังทำงานตรงสายก็ขาดความรู้และประสบการณ์ที่พร้อมจะทำงาน ทั้ง ๆ ที่บุคลากรในสาย ERP นี้เป็นที่ต้องการจำนวนมาก และมีค่าตอบแทนสูง
  • การสนับสนุนของ Vendors และภาครัฐมีกระท่อนกระแท่นในรูปแบบของโครงการระยะสั้น เช่น การเกิดขึ้นของโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก EEC ซึ่งมีเม็ดเงินงบประมาณ ลงมายังภาคการศึกษาเป็นระยะสั้น ๆ และเมื่อเจอกับอุปสรรคภายในภาคการศึกษาก็มันจะยุติโครงการไป เป็นต้น

ปัญหาบางเรื่องก็มิอาจแก้ไขได้ เพราะว่าเป็นเรื่องของกระบวนการภายใน, ค่านิยม และปัจจัยอื่น ๆ แต่สำหรับปัญหาเรื่องการเรียนการสอนส่วนหนึ่ง เช่น ความเข้าใจในกระบวนการทางธุรกิจ ความเข้าใจพื้นฐานทางธุรกิจ ซึ่งมีความสำคัญมากในการเรียนการสอนเรื่อง ERP นั้น MonsoonSIM เป็นต้วเลือกที่ดี ด้วยเหตุผลต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
1) ช่วยสร้างความเข้าในด้านธุรกิจ และกระบวนการทางธุรกิจซึ่งทำให้นักศึกษาด้าน IT เติมช่องวางที่ขาดไปได้ในระยะเวลาอันสั้น
Picture
Picture
MonsoonSIM สร้างความเข้าใจในเรื่องธุรกิจ และกระบวนการทางธุรกิจได้อย่างไร
  • ​MonsoonSIM จำลองสถานการณ์ทางธุรกิจและให้ผู้เรียนได้ทำวางแผนและดำเนินกิจกรรม โดยอาศัยข้อมูลต่าง ๆ (เช่น ข้อมูลของ Demand Forecast, จำนวนและความหนาแน่นประชากร, Margin ของสินค้าค้าต่าง ๆ ฯลฯ) เมื่อได้ทำกิจกรรมใด ๆ ผ่านระยะเวลาจะเกิดผลลัพท์ และระบบจะแสดงผลลัพท์ที่เกิดขึ้น เมื่อ mapping ระหว่างกิจกรรมที่ทำ และผลลัพท์ที่เกิดขึ้น กับข้อมูลที่เป็นเหตุ ก็จะสร้างความเข้าใจในด้านต่าง ๆ มากขึ้น ตามประเภท, จำนวน และขอบเขตของกิจกรรม (และความเข้าใจนี้จะช่วยให้เข้าใจพื้นฐานของ Data Analytics เพิ่มขึ้นด้วย)
  • MonsoonSIM สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบของกิจการ และความสั้นยาวของโซ่อุปทานได้  รวมไปถึงเพิ่มข้อกำหนดต่าง ๆ  ที่ทำให้เกิดกระบวนการทำงานที่ซับซ้อนเพิ่มขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้เมื่อผู้เรียนมีประสบการณ์หลายครั้ง และแตกต่างรูปแบบของกิจการ และความสั้นยาวของโซ่อุปทานที่ไม่เท่ากัน ทำให้เกิดการเรียนรู้ในกระบวนการทางธุรกิจ (Business Processes) ซึ่งทำให้เกิดความเข้าใจว่าในแต่ละประเภทของธุรกิจมีกระบวนการที่แตกต่างกันไป และเมื่อเกิดความเข้าใจมากขึ้นในกระบวนการทางธุรกิจที่เป็นมาตรฐาน หรือ กระบวนการทางธุรกิจที่เกินความจำเป็น ทำให้การแข่งขันลดลงและไม่เกิดประสิทธิภาพ สิ่งที่ได้คือ ผู้เรียนจะสรรหาวิธีหรือกระบวนการทำงาน ทั้งภายใน MonsoonSIM และ กระบวนการทำงานระหว่างสมาชิกในทีม ซึ่งเป็นบทเรียนเกี่ยวกับ Busuness Processes Management และ Business Processes Improvement 
  • MonsoonSIM สามารถกำหนดค่า Configsurations ได้ ซึ่งทำให้ สามารถปรับเปลี่ยนโอกาสต่าง ๆ ซึ่งผู้ที่มีประสบการณ์จะต้องเลือก Business Model ที่ตัวเองและทีมเห็นว่าสามารถเอาชนะคู่แข่งได้ หรือ เลือกจากความชำนาญ หรือ ข้อจำกัดต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยสอนเรื่อง Strategic Thinking และนำไปปรับใช้ในการวางแผนธุรกิจได้ 

กระบวนการที่เกิดขึ้นจาก Simulation ที่หลากหลายรูปแบบ จะเป็นพื้นฐานที่ดีเรื่องกระบวนการทางธุรกิจ แบบเป็นขั้นตอน เป็นระบบ และจะช่วยอย่างยิ่งในการวางแผนเพื่อใช้ระบบ ERP ต่อไป ซึ่งการเข้าใจกระบวนการทางธุรกิจนี้ จำเป็นอย่างยิ่งต่อการ implement และการใช้งาน ERP รวมไปถึงการสร้าง Processes เฉพาะของแต่ละงานแต่ละธุรกิจ 

ต้องไม่ลืมว่า MonsoonSIM ใช้กระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลายวิธี ประสบการณ์ ความเข้าใจจะแปรผันไปตาม scenario ที่แตกต่างกัน, กระบวนการสอนเพื่อให้เกิดความเข้าใจในแต่ละรูปแบบธุรกิจ ซึ่งเกิดโดยตรงจาก facilitator หรือ สมาชิกในกลุ่มด้วยกันเอง และอาจเกิดจากการศึกษาจากคู่แข่ง นอกจากการเรียนรู้โดยใช้ Simulation แล้ว กระบวนการเสริมการเรียนรู้ เช่น bridging ประสบการณ์ข้ามไปมาระหว่าง Simulation กับประสบการณ์ในโลกทำงานจริง จะช่วยเพิ่มความเข้าใจของผู้เรียน และเมื่อผู้เรียนสามารถสร้างระบบวิธีคิดที่เป็นขั้นตอน ประสานกับความรู้จักจ้อดี ข้อเสีย ข้อจำกัดของชุดทฤษฎีต่างๆ ย่อมสร้างนักวางแผนและนักปฏิบัติเชิงกลยุทธ์ได้

2) เกิดประสบการณ์บนระบบ ERP จำลองใน MonsoonSIM
Picture
http://infocus-in.com/sap-ecc/
Picture
http://www.similantechnology.com/erp.html
MonsoonSIM ตั้งแต่เวอร์ชั่นแรก จนถึงเวอร์ชั่นที่ 4 ได้รับการออกแบบเพื่อให้เป็นเครื่องมือในการทำความเข้าใจระบบ ERP ซึ่ง MonsoonSIM นั้นได้จำลองกระบวนการ ERP จาก SAP ERP (ซึ่งมีรูปแบบกระบวนการไม่แตกต่างจาก ERP ของค่ายอื่น ๆ ซึ่งจะแตกต่างที่ กระบวนการย่อย, จุดเด่นในแต่ละโมดูล เท่านั้น) MonsoonSIM ได้จำลอง Dashboard เพื่อสะท้อนให้ผู้เรียนที่ไม่มีประสบการณ์ด้าน ERP ได้เห็นถึงการเลือกสรรข้อมูลที่มีความจำเป็นจากระบบฐานข้อมูลในแต่ละงาน ขึ้นมาเพื่อเชื่อมโยง หรือแสดงผลประกอบการตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลร่วมกัน  ทั้งยังมีรูปแบบของรายงาน (report) ในแต่ละงาน หรือแต่ละฝ่าย รวมไปถึงกระบวนการตรวจสอบต่าง ๆ ที่ระบบ ERP สร้างขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงในการทำงาน และหรือเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้มากขึ้น 

ขอยกตัวอย่างจาก SAP ERP ในบาง Modules ซึ่งเป็นที่นิยม เนื่องจาก MonsoonSIM พัฒนาบน Terms ของ SAP ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรฐาน ERP ที่ให้บริการในตลาด และมีส่วนของ Market Share มากที่สุดตัวหนึ่งใน ERP ซึ่งมีในตลาด 

MonsoonSIM จำลอง Services ในงานต่างๆ เช่น งานจัดซื้อ  ซึ่งจะต้องใช้ข้อมูลร่วมกัน เช่น ข้อมูลด้าน Demand และ Forecast จากทีมขาย จาก SD; Distribution (ตลาด) เพื่อวางแผนการจัดการผลิต (PP; production Planning) และเชื่อมโยงกับอำนานการตัดสินใจ หรือสภาพตล่องทางการเงิน ที่เกียวข้องกับ FI; Finaicial and Accounting ซึ่งจะเห็นได้ว่างานหนึ่งงานในกระบวนการทางธุรกิจนั้นมีความเกี่ยวข้องกับหลายส่วน กว่าที่จะจบกระบวนการในแต่ละงาน 

ข้อดีของการศึกษาระบบของธุรกิจ, กระบวนการต่าง ๆ ทางธุรกิจ ร่วมกับ ERP Concepts จะช่วยสร้างกระบวนการทำงานเป็นระบบ (Systematic) และรวมไปถึง การกำหนดคุณภาพ เกณฑ์ชี้วัด ในแต่ละงานออกมาเป็นรายงานต่าง ๆ ซึ่งเกิดความชัดเจนและสร้างความเข้าใจให้กับผู้เรียนมากกว่าการเรียนแบบท่องจำ 

เมื่อผู้เรียนเข้าใจกระบวนการทำงานทางธุรกิจ เกณฑ์ชี้วัดต่าง ๆ  ความเสี่ยงที่เกิดขึ้น และ คน ฝ่าย หรือแผนกที่จะต้องทำงานร่วมกัน จากการเรียนการสอนที่สอนให้แยกส่วนกัน รูปแบบและวิธีการเรียนจะช่วยสร้างความเข้าใจในเรื่องของ Work Process และ Collaborative เป็นประสบการณ์ติดตัวผู้เรียนออกไป และสร้างความเข้าใจในการทำงานร่วมกันมากขึ้นด้วย 
3) โอกาสในการเรียนรู้เรื่องการวัดผลในแง่มุมต่าง ๆ และต่อยอดไปยัง Data Analytics
Picture
ในระหว่างประสบการณ์ MonsoonSIM การวัดผลเป็นสิ่งที่ช่วยให้ ประเมินคุณภาพในการตัดสินใจของงานที่ได้กระทำลงไป ใน MonsoonSIM มีชุดข้อมูลและการวัดผลหลากหลายตัว ทั้งในระดับ คุณภาพของการตัดสินใจในแต่ละเรื่อง, การประเมินวัดผลร่วมกันในหลาย ๆ งาน ซึ่งในระหว่าง workshop ผู้เรียนจะได้เรียนรู้ชุดของการวัดผลในแบบต่าง ๆ จาก facilitator รวมไปถึง ชุดข้อมูลที่ใช้วัดผลงานที่ตนได้ตัดสินใจในหลากหลายรูปแบบ ซึ่งการที่ผู้เรียนเข้าใจชุดการวัดผลที่หลากหลายจะช่วยให้สามารถเข้าใจปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละระดับแตกต่างกัน  ใน MonsoonSIM มี Business Intelligent Service ที่ผู้เรียนที่ยังไม่มีประสบการณ์จะได้ทดลองนำข้อมูลที่เกี่ยวข้อง มาศึกษาร่วมกัน และนั้นเป็นส่วนหนึ่งของจุดประสงค์ของข้อมูลใน ERP ที่ต้องการการตีความ และกำหนดกิจกรรม น้ำหนัก และ priority ในการกิจกรรม เพื่อให้เกิดผลลัพท์ที่ดีกับองค์กร

ข้อมูลที่มี record จำนวนมากมาย ในหลายรูปแบบนั้น จะเป็น "ทุน" ในการ "ต่อยอด" เรียนรู้ ทั้งในแง่ของ การรับรู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้น (Descriptive Analytics), การวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้น การยืนยันสถานะของปัญหาจากข้อมูล (Diagnostic Analytics), การคาดการแนวโน้มที่จะเกิดขึ้น และผลลัพท์ที่เป็นคุณและโทษต่อกิจการ (Predictive Analyticss) ซึ่งทำมาซึ่งวิธีการป้องกันปัญหา หรือ การเร่งปฏฺิกิริยาของผลลัพท์เชิงบวกให้ทวีคูณในทางธุรกิจ (Presctriptive) ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นจุดมุ่งหมายหลักของการที่องค์กรต้องการจาก ERP และบุคลากรที่มีความเข้าใจในธุรกิจ (ในปัจจุบันถูกเรียกว่า Data Driven Decision) และความเข้าใจที่มีข้อมูลกำกับ จะช่วยให้องค์กรเดินไปในทิศทางที่มีมาตรฐานในการตัดสินใจ เกิดความชัดเจนเมื่อเกิดข้อโต้แย้งระหว่างกันในอง๕ืกร และระบบ ERP เองก็ช่วยให้ "ระบบ" ถูกใช้มากกว่า "ความเชื่อ" ในระดับบุคคล

การเรียนรู้ที่ดี คือ การเรียนที่รู้ และมีโอกาสลงมือทำผิดพลาด และเมื่อหาทางที่จะไม่ผิดในเรื่องเดิมอีก จะเกิดเป็นความเข้าใจ เกิดเป็นรูปแบบ ซึ่งเป็น Best Practice ในแต่ละปัญหา ในแต่ละเรื่อง และในแต่ละโอกาส การเรียนเรื่อง ERP ที่ใช้ความรู้หลายชุด ทักษะหลายด้าน ไม่ควรถูกเรียนแบบขาดโอกาสทดลอง และเรียนด้วยประสบการณ์ และเมื่อสร้างผู้เรียนที่วิเคราะห์ปัญหาได้ หาทางเข้าใจเรื่องที่ซับซ้อนจนเกิดเป็นประบวนการคิดได้อย่างเป็นระบบ จะไม่มีข้อครหาที่ว่าเขาจะเปลี่ยนประสบการณ์ในโลก Simulation อย่าง MonsoonSIM ไปใช้ใน ERP และในงานจริง ๆ ได้หรือไม่ เพียงต้องให้เวลา และประสบการณ์ทำงานร่วมกัน การเรียนเรื่อง ERP จึงควรมีเครื่องมือสร้างประสบการณ์เช่น MonsoonSIM ที่เชื่อม IT และ Business เข้าด้วยกัน เชื่อมกิจกรรมกับ Data เข้าด้วยกัน เรียงร้อยกระบวนการทำงานให้ผู้เรียนได้เข้าใจ ซึ่งนั้นเป็นหน้าที่ของ MonsoonSIM สำหรับปัญหาเรื่องการเรียน ERP และ Business Processes   ส่วนปัญหาด้าน Technnical นั้น ก็จะมี Simulation ในแต่ละเรื่องในโลก ERP เช่น ERPSIM ที่ทำให้ปัญหาด้านเทคนิคหมดไป จึงได้เขียนบทความนี้เพื่อความกระจ่างสำหรับปัญหาที่ได้รับการถามบ่อย ๆ ครับ 

เพราะประสบการณ์ คือ โรงเรียนที่ดี และประสบการณ์ ERP การบริหารธุรกิจ การวิเคราะห์ข้อมูลที่จับต้องได้ยาก มี MonsoonSIM เป็นเครื่องมือที่ให้ประสบการณ์

0 Comments

MonsoonSIM เครื่องมือที่ผสมผสานการเรียนบัญชีกับมุมมองทางธุรกิจ สร้างวิธีเรียนบัญชีรูปแบบใหม่

6/6/2021

0 Comments

 
Picture
Credit Photo: https://fsbeldorado.com/finance/how-to-effectively-learn-accounting/
MonsoonSIM อาจไม่ใช่เครื่องมือหลักสำหรับการเรียนการสอนในสาขาวิชาบัญชี ทว่า MonsoonSIM เป็นเครื่องมือเสริมที่ดี ที่จะสร้างประสบการณ์ที่ใกล้เคียงกับกิจกรรมทางธุรกิจ เพื่อให้เรียนรู้ด้านบัญชี และด้านอื่น ๆ ที่สาขาบัญชีควรทราบอย่างบูรณาการ  เป็นการเสริมสมรรถนะให้นักศึกษาสาขาบัญชีให้เกิดมุมมองเชื่อมโยงบัญชีกับด้านการบริหารจัดการ, ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ, ด้านการใช้ข้อมูลเพื่อเสริมด้านการตรวจสอบ และเพื่อประกอบการตัดสินในเชิงธุรกิจ ซึ่งนักศึกษาบัญชีเองอาจมีความสามารถในการประติดประต่อความรู้กับกิจกรรมเข้าด้วยกันได้ไม่ดีพอ MonsoonSIM จึงทำหน้าที่ในส่วนนี้ 
บัญชี เป็นหนึ่งในวิชาที่เข้าใจได้ยาก และจะต้องใช้ประสบการณ์เพื่อสร้างความเชี่ยวชาญ และมีรายละเอียดในด้านต่าง ๆ มาก ในอดีตถึงกับมีคำกล่าวทำนองว่าเรียนบัญชีไม่มีทางตกงาน เพราะว่าเป็นสาขาวิชาที่เป็นที่ต้องการของตลาด  ทว่ามีกฎระเบียบ และกฎหมายรองรับในการทำธุรกิจ มีหน้าที่ควมรับผิดชขอบทางกฎหมาย เช่น การนำส่งงบประเภทต่าง ๆ งานภาษีอากร. งานตรวจสอบภายใน, งานผู้สอบบัญชี ฯลฯ เป็นวิชาชีพที่มีความสำคัญในโลกธุรกิจ 

การเรียนการสอนวิชาบัญชีในปัจจุบันมีความท้าทายหลายประการ เช่น 
  • ความท้าทายที่เกิดจาก Generation ใหม่ ตั้งแต่นักศึกษารุ่น  Millenium เป็นต้นมา ที่เติบโตมาในความเร่งรีบและรวดเร็ว ซึ่งอาจจะขัดกันกับความถูกต้อง รอบคอบ ใช้ระยะเวลาในการตรวจสอบมาก และมีความละเอียด ซึ่งเป็นธรรมชาติของการทำงานสายบัญขี
  • เทคโนโลยีด้านสารสนเทศที่พัฒนารวดเร็ว และมีอิทธิพลต่อโลกของบัญชี ซึ่งเทคโนโลยีถูกลง เข้าถึงได้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น จนเป็นคำถามที่ท้าทายว่าการเรียนการสอบบัญชีจะปรับตัวได้อย่างไร ในโลกที่เทคโนโลยีสารสนเทศ ซอฟต์แวร์ และฮาร์ดแวร์บนโลกดิจิตอลอาจงานพื้นฐานเกี่ยวกับบัญชี
  • โลกธุรกิจที่แข่งขันรวดเร็ว เกิดโมเดลใหม่ ๆ ซึ่งก้าวล่วงหน้าระเบียบด้านบัญชีเสมอ
  • มาตรการของรัฐ ที่มีแนวโน้มจำใช้ระบบบัญชีที่เชื่อมโยงกันในกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งทำให้งาน routineในการทำบัญชีน้อยลง 

การศึกษาด้านบัญชีปรับตัวเปลี่ยนแปลงมาหลายยุคสมัย หลักการทางบัญชีซึ่งเป็นหัวใจสำคัญยังคงอยู่ แต่มีการปรับเปลี่ยนรายวิชา และรูปแบบการเรียนการสอนมากขึ้น และความต้องการของตลาดนั้น ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปในรอบ 20 ปี ที่ผ่านมา  โดยนักบัญชีในปัจจุบันจะต้องมี Competency มากกว่าด้านบัญชี การปรับตัวนี้เกิดขึ้นในบางสถาบันการศึกษา ขึ้นอยู่กับ Vision ของสถาบันการศึกษาในสาขาบัญชีที่แตกต่างกันไป เริ่มมีการนำเอาสารสนเทศด้านบัญชีมาเป็นส่วนหนึ่งในการเตรียมความพร้อมให้บัณฑิตสาขาบัญชีมานานแล้ว ซึ่งอยู่ในรูปแบบของโปรแกรมบัญชี  ทว่าความเปลี่ยนแปลงในโลกต้องการ Integrated Knowledge, Skill และมี Competency ด้านต่าง ๆ สถาบันการศึกษาทางบัญชีจะปรับตัวทันหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับการเปิดใจกว้างของทีมบริหาร กับการรับรู้การเปลี่ยนแปลง เพราะในบางสถาบันการศึกษาก็ยังคงอยู่ในโซนอนุรักษ์นิยม บางสถาบันการศึกษาปรับตัวอย่างรวดเร็วแต่ก็ยังช้ากว่าความต้องการของโลกธุรกิจ ทั้งนี้ไม่นับรวมการเปลี่ยนแปลงมาตรฐานทางบัญชีที่เกิดขึ้นจนภาคการศึกษา และมืออาชีพทางบัญชีก็ตามการเปลี่ยนแปลงไม่ทัน

อัตราการทำงานในด้านบัญชี เริ่มเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ยุคปลาย Gen Y เป็นต้นมา สถาบันการศึกษามักพบว่าเมื่อเมื่อราว 20-30 ปีก่อน บัณฑิตด้านบัญชีทำงานตรงกับสายวิชาชีพที่เรียนกว่าร้อยละ 90 ทว่าตัวเลขนี้ลดลงมาเรือย ๆ จนปัจจุบันการเรียนในสาขาวิชาชีพทางบัญชี และจบไปทำงานตรงสายวิชาชีพ มีสัดส่วนไม่มาก และบัณฑิตรุ่นใหม่ ๆ มีแนวโน้มจะทำงานด้านอื่น ๆ เช่น เป็นผู้ประกอบการ startup หรือทำงานสายอื่น ๆ และศึกษาต่อในสาขาวิชาอื่น ๆ มากขึ้น 

จากการสัมภาษณ์บัณฑิตสาขาบัญชี พบว่าเวลามากของการเรียนหมดไปกับมาตรฐานทางบัญชี ซึ่งมีเพิ่มเติมเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โอกาสในการ Hands-on หรือเพิ่มความเข้าใจทางบัญชี กับกิจกรรมทางธุรกิจมีไม่มากพอ, มี assignment จำนวนมาก ทำให้โอกาสในการไปเรียนรู้สาขาวิชาอื่น ๆ น้อยลง และทำให้หมดพลังงานในการไปร่วมกิจกรรมอื่น ๆ ที่สนใจ  บัณฑิตส่วนมากยังคงเริ่มต้นการทำงานด้วยด้านที่เกี่ยวกับบัญชีส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่า ไม่ได้มี competency อื่น ๆ และ เพื่อเป็นการสะสมจำนวนชั่วโมง เพื่อการเตรียมสอบ CPA ไว้เป็นทางเลือกในชีวิต การเรียนบัญชีช่วยสร้าง Logical Thinking ซึ่งเป็นข้อดีของสาขาวิชานี้ และได้กระบวนการ measurement ทางบัญชี ซึ่งเห็นว่ามีประโยชน์ค่อนข้างมาก และไปต่อยอดได้หากจะทำธุรกิจเอง  ส่วนการเรียนการสอนนั้น เนื่องจากเป็นเรื่องเฉพาะทางเสียมาก อาจารย์ผู้สอนก็จะมีความเชี่ยวชาญไปในแต่ละเรื่อง ในบางวิชาใช้อาจารย์หลายท่านในการสอนซึ่งไม่ได้เชื่อมโยงกันเป็นเนื้อเดียว ในบางวิชาเช่น สถิติทางธุรกิจนั้น เป็นพื้นฐานทางสถิติและการใช้สูตรคำนวน ทว่าการตีความข้อมูลทางสถิติมีน้อยจะไม่สามารถเข้าใจได้ และไม่มีภาษาอังกฤษเพื่อการบัญชีโดยเฉพาะ เมื่อต้องไปทำงานในบริษัทต่างชาติ ทำให้เกิดช่องว่างเกิดขึ้น เป็นต้น 

ปัจจุบัน Demand ความต้องการนักบัญชียังคงสูง ทว่า Supply ในตลาดแรงงานลดลงเรื่อย ๆ จากหลายปัจจัย จนเกิดเป็นปัญหาขาดแคลนนักบัญชี ซึ่งปัญหานี้สอดคล้องกันกับสาขาวิชาที่เรียนยาก และใช้ความพยายามในการศึกษาสูง ก็มีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกัน ทว่าในทางกลับกัน สาขาวิชาบัญชีในกลุ่มมหาวิทยาลัยชั้นนำยังคงมีอัตราการแข่งขันที่สูง ทั้งในภาคปรกติ และภาคพิเศษ (ภาคเปย๋) ส่วนหนึ่งอาจมาจากอิทธิพลของยุคที่เปลี่ยนผ่านระหว่าง ความคิดของพ่อแม่ Gen X ต้นและกลางที่ยังมีผลต่อการเลือกคณะในการศึกษาต่อในโลกทัศน์ที่ว่าวิชาชีพบัญชีนั้นมีความปลอดภัย และมีรายได้สูงก็เป็นได้ ในปัจจุบันแนวคิดเรื่อง security ในการทำงานด้านบัญชี ได้รับการท้าทายจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และ Machine Learning ประกอบกับรูปแบบของธุรกิจกำลังเปลี่ยนแปลงไป เป็น Digitalize มากขึ้น ซึ่งนับเป็นการท้าทาย 

มหาวิทยาลัยที่เปิดสอนด้านบัญชี ทั้งในส่วนที่เป็นคณะหลัก หรือ สาขาวิชาในคณะบริหารธุรกิจ อาจจะต้องตัดสินใจปรับเปลี่ยน Vision และ Mission ในการสร้างบัณฑิต อย่างไรเป็นเรื่องน่าสนใจ ซึ่งไม่มีคำตอบชัดเจนว่าจะเป็นไปในทิศทางใด ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่าในอนาคตสาขาวิชาบัญชีที่ไม่โดดเด่นและปรับตัวช้าอาจจะต้องปิดภาควิชาหรือคณะลง กลุ่มสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงระดับกลางถึงสูงซึ่งเปลี่ยนจากการผลิตนักบัญชีโดยตรงเป็นที่ปรึกษาที่ใช้ทักษะความรู้ด้านบัญชี และงานด้าน Auditing อาจะจะยังคงอยู่ต่อไปได้  เพราะยังมีความต้องการคน แทน AI และ ML อย่างน้อยไปอีก 10-15 ปี ในประเทศไทย (จากปี 2564) เป็นต้น ทางเลือกของสาขาวิชาบัญชีในอนาคตอาจมีทางเลือกดังต่อไปนี้
  • ​ผลิตบัณฑิตที่ยังเน้น competency ทางบัญชีอย่างเดียว ทว่าจะต้องเพิ่มความเข้าใจเรื่องเทคโนโลยี และเน้นสายวิเคราะห์ ตรวจสอบ วางแผนขั้นสูง (สังเกตุได้จากการมีวิชาใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามา เช่น การวิเคราะห์บัญชีเชิงลึก (Accounting Data Analytics) หรือ โปรแกรมสำเร็จรูปสำหรับงานบัญชี (Software Package for Accounting; ซึ่งขออย่าให้เป็นการสอนใช้งาน Software ใด ๆ ตัวหนึ่งที่นักศึกษาปรับใช้งานไม่ได้) เป็นต้น
  • ผลิตบัณฑิตด้านบัญชีที่มีมากกว่าหนึ่ง competency เพื่อให้โอกาสกับนักศึกษาได้มีทางเลือกด้านอาชีพโดยมีทักษะที่หลากหลาย หรือ การเพิ่มวิชาที่ Integrated กับบัญชีอย่างเป็นรูปธรรม 
  • เพิ่มสัดส่วนของ Hands-on ในวิชาที่เป็นการวิเคราะห์ หรือ Accouting Information System มากขึ้น 
  • หรือทางเลือกอื่น ๆ ​​
Picture
หน้าที่และบทบาทของ MonsoonSIM กับสาขาวิชาบัญชี จากการสัมภาษณ์นักศึกษา และบัณฑิตทางบัญชีที่มีประสบการณ์จาก MonsoonSIM 
  • MonsoonSIM เป็นตัวเชื่อมวิชาทางบัญชี กับวิชาอื่น ๆ ที่เป็นส่วนของกระบวนการทางธุรกิจ ทำให้เข้าใจวิชาอื่น ๆ ที่อยู่ในหลักสูตรได้เพิ่มขึ้น เช่น หลักการตลาด, การจัดการการผลิต, การวิเคราะห์เชิงปริมาณเพื่อการตัดสินใจทางธุรกิจ, การวางแผนการผลิต และการควบคุมการผลิต ฯลฯ ทำให้เกิดความเข้าใจว่าประโยชน์ของวิชาต่าง ๆ ที่อยู่ในหลักสูตร ว่าบัญชีจะมีบทบาทอย่างไรกับงานหรือกิจกรรมนั้น ๆ
  • ได้ประสบการณ์ในการวิเคราะห์ทางบัญชีการเงินมากขึ้น เพราะเข้าใจที่มาของ record ต่าง ๆ กิจกรรมใน MonsoonSIM มีตัวเลข Record ที่เกิดจากกิจกรรม ทำให้เกิดความเข้าใจในพื้นฐานบัญชีเพิ่มมากขึ้น 
  • ประสบการณ์พื้นฐานที่เกี่ยวกับวิชา AIS; Accountiong Information System ได้ทดลองวิเคราะห์ข้อมูลที่รู้ที่มาเพื่อเป็นฐานในการเรียนรู้ ก่อนไปยังตัวอย่งาที่ยากขึ้น ซับซ้อนในการเรียนวิชานี้
  • MonsoonSIM ทำให้เข้าใจธุรกิจมากขึ้น และมีโอกาสในการที่จะผันตัวเองไปทำงานในด้านอื่น ๆ จากประสบการณ์จำลอง เข้าใจว่าแต่ละงานทำอย่างไรในพื้นฐาน เป็น backup ให้ชีวิต หากไม่ทำงานสายบัญชีโดยตรงหรือสายที่เกี่ยวข้อง 

ต่อคำถามที่ว่า ควรนำ MonsoonSIM ไปแทรก หรือมีประสบการณ์ในชั้นเรียนใด คำตอบที่ได้ คือ หากมีโอกาสตั้งแต่ ปี 2 น่าจะเกิดประโยชน์กับการเรียนรู้วิชาหฟลัก และวิชาประกอบต่าง ๆ และเข้าใจมากขึ้น Integrated และเชื่อมโยงได้ง่ายขึ้น  ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดจากการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับบัณฑิตด้านบัญชี จะเห็นได้ว่าประโยชย์ของ MonsoonSIM อาจไม่เกิดขึ้นโดยตรงกับสาขาบัญชี (เช่น ใช้สอนในมาตรฐานบัญชี หรือบัญชีชั้นสูง) แต่ให้ประโยชน์อื่นๆ และที่สำคัญคือ โอกาสในการมีประสบการณ์ที่นักศึกษาหาได้ยากจากการเรียนในห้องเรียน  

ในส่วนของหลักสูตรทางบัญชีทั่วไป มักมีโครงสร้างไม่แตกต่างกัน คือ วิชาหลักทางบัญชี และวิชาพื้นฐานอื่น ๆ (เช่น กลุ่มวิชาการเงิน, กลุ่มวิชาการจัดการ ปละกลุ่มวิชาการตลาด) ซึ่งวิชาเหล่านี้อาจใช้ MonsoonSIM เป็นเครื่องมือพื้นฐานได้ ซึ่งโดยความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนนั้น ดีกว่าการเรียนแบบฟังบรรยายอย่างเดียว 

จากประสบการณ์ในฐาน Facilitator คิดว่าวิชาหลักด้านบัญชี และความเข้าใจด้านบัญชี และวิชาอื่น ๆ ที่มักเป็นตัวเลือกในการเรียนบัญชีในหลักสูตรที่มีความใกล้เคียงกันในแต่ละสถาบัน อาจใช้ MonsoonSIM เป็นเครื่องมือเสริมได้ ดังนี้ 

ชื่อวิชา
การเติมประสบการณ์ในชิชาดังกล่าวด้วย MonsoonSIM
หลักการบัญชีเบื้องต้น
MonsoonSIM มีเครื่องมือที่ช่วย้ตืมเต็มหลักการบัญชี เช่น สมการบัญชี; คำนิยามเบื้องต้นทางบัญชี, รายการบัญชี (Debit/Credit), หมวดบัญชี เช่น สินทรัพย์, หนี้สิน, ส่วนของผู้ถือหุ้น, รายได้, รายจ่าย หรือบัญชีต่าง ๆ (ซึ่ง MonsoonSIM ร่วมกับ School of Accounting, Daekin University ในการพัฒนา concepts ต่าง ๆ ใน MonsoonSIM) เช่น Balance Sheet, Trail Balance, Profit and Loss, Cash Flow 
ระบบสารสนเทศทางบัญชี
MonsoonSIM มุมมองเรื่องระบบสารสนเทศ และระบบการจัดการ ERP ซึ่ง Accounting เป็นส่วนหนึ่งของระบบนี้ และยังเพิ่มมุมมองเกี่ยวกับระบบสาสนเทศเพื่อการบริหารด้านอื่น ๆ ให้นักศึกษาบัญชีด้วย
หลักการบัญชีต้นทุน
ใน MonsoonSIM มีต้นทุนประเภทต่าง ๆ เช่น COGS, OPEX, Financial Cost เป็นต้น และกิจกรรมที่เป็นตัวแปรให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต้นทุน และมีกราฟต่าง ๆ ที่เพิ่มความเข้าใจ และให้นักศึกษาเห็นผลลัพท์จากการบริหารที่ผิดพลาด หรือมีประสิทธิภาพซึ่งสะท้อนต่อต้นทุนในกิจการ
การบัญชีบริหาร
MonsoonSIM เป็นเครื่องมือที่ดีในการใช้ปประกอบกับวิชานี้ สร้างประสบการณ์ในการบริหารผ่าน Simulation และมีรายงานทางการเงินของส่วนงานต่าง ๆ เพื่อใช้ในการวางแผน ควบคุม และการตัดสินใจ 
การตรวจสอบและควบคุมระบบสารสนเทศทางบัญชี, การวิเคราะห์รายงานทางการเงิน 
MonsoonSIM นอกจากจะมีรุปแบบบัญชีต่าง ๆ แล้ว ยังจำลองระบบ ERP ซึ่งสามารถ Tracking สืบค้น activity ต่าง ๆ ย้อนหลังได้ ซึ่งเป็นเครื่องมือเบื้องต้นให้นักศึกษาสามารถเข้าใจ และเรียนวิชานี้ได้เกิดควาามเข้าใจมากขึ้น และมีประสบการณ์จาก Simulation
การจัดการเชิงกลยุทธฺ, การจัดการผลิต, หลักการตลาด
วิชาเหล่านี้มักเป็นวิชาเฉพาะบังคับ ซึ่ง MonsoonSIM ให้ประสบการณ์กับนักศึกษาได้ และ เชื่อมโยงกับมิติทางบัญชีได้ 
การวิเคราะห์ข้อมูลทางบัญชี
MonsoonSIM เป็นเครื่องมือในวิชานี้ได้ ในระดับพื้นฐานของปริญญาตรี เรื่องจากมีช้อมูลต่าง ๆ รายงานทางการเงิน และยังมี  Business Intellgent พื้นฐาน เพื่อสร้างประสบการณ์ให้นักศึกษาด้วย
วิชาเฉพาะเลือกในหลักสูตรบัญชีบัณฑิต หลายวิชายังคงใช้ MonsoonSIM เป็นเครื่องมือเสริมได้ดี (และดีกว่าการสอนแบบบรรยายแน่นอน) เช่น  Business Finacing, Human Resource Management, Entrepreneurship, Introduction to e-Commerce, Operationg Planning and Control, Supply Chain Management, Purchasing, Markrting Management, Marketing and Decision Meeting, Logistics Management เป็นต้น 


บทความนี้คงทำให้ท่านผู้สอนในสาขาวิชาบัญชีได้เห็นเครื่องมือที่ช่วยสร้าง และเพิ่ม ความเข้าใจและประสบการณ์ให้กับนักศึกษา ผ่าน MonsoonSIM Business Simulation และ Gamification และประโยชน์จะเกิดกับนักศึกษาสาขาบัญชี สร้างความแตกต่างด้วยการเรียนการสอนทางเลือกให้กับสถาบันของท่าน 

0 Comments

MonsoonSIM Business Simulation เครื่องมือสำหรับการเรียนการสอนในสาขาโลจิสติกส์และซัพพลายเชน

6/5/2021

0 Comments

 
Picture
การเรียนการสอนที่เน้นการท่องจำ และไม่มีโอกาสให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์เป็นการเรียนการสอนที่ล้าสมัย และไม่เกิดประโยชน์กับผู้เรียน อาจเป็นการลงทุนที่มี ROI ต่ำหากผู้ปกครอง และนักศึกษาต้องตระหนัก การเรียนในสาขาวิชาด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนเป็นเรื่องที่มีความซับซ้อนซึ่งไม่ควรใช้รูึปแบบการเรียนการสอนแบบเดิม ที่ใช้กันอยู่ทั่วไปในมหาวิทยาลัย และวิทยาลัยอาชีวะในประเทศไทย

วิชาด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนกำลังเป็นต้องการในตลาด และเป็นยุทธศาสตร์หลักของประเทศไทย ที่ได้เปรียบในฐานะศูนย์กลางคมนาคมในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบกับนโยบายของภาครัฐไม่ว่าจะเป็นโครงการระเบียงเศรษฐกิจ East-West หรือ North-South Corridor 
โครงการ EEC ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก  ทั้งนี้ยังไม่รวมยุทธศาสตร์ระดับโลกเช่น One Belt One Road ของประเทศจีนซึ่งไทยอยู่ในแผน ประกอบกับการลงทุนด้านสาธารณูปโภค ไม่ว่าจะเป็นรถไฟรางคู่, มอเตอร์เวย์, รถไฟความเร็วสูง ประกอบกับการที่ไทยเป็นแหล่งวัตถุดิบทั้งการเกษตร (นโยบายครัวของโลก) หรือเป็นแหล่งผลคิ part ด้านอุตสาหกรรม รวมไปถึงการเติบโตของเวียตนาม ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการเติบโตของอุตสาหกรรมที่หลากหลาย

ความต้องการของผู้จบการศึกษาด้านโลจิสติกส์ซัพพลายเชนมีความต้องการเพิ่มขึ้น และต้องการบัณฑิตที่มีความเข้าใจเรื่องของ Supply Chain Management กระบวนการ Logistics ตั้งแต่ต้นน้ำกลางน้ำและปลายน้ำ ซึ่งนอกจากจะมีความเข้าใจในวิชาพื้นฐานแล้ว ยังต้องมีความสามารถในการทำงาน และมีประสบการณ์ที่พร้อม แต่ปรากฎว่าสาขาวิชาด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงในวิธีการศึกษาน้อยมาก และบัณฑิตมีความไม่พร้อม ขาดความรู้ที่จำเป็นเช่น พื้นฐานทางธุรกิจ, การวัดผลทางธุรกิจ, การจัดการที่เกี่ยวข้องในแต่ละข้อโซ่ในห่วงโซ่อุปทาน, ทักษะการวิเคราะห์และคิดคำนวน, ทักศะการวางแผนและตีความโดยใช้มูล (Data Driven Decision) ประกอบกับความเ้ขาใจในเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องเช่น ERP; Enterprise Resources Planning และการจัดการทรัพยากรที่มีจำกัด และยังไม่รวมความต้องการในจิตลักษณะและมีความคิดอย่างผู้ประกอบการ  ทว่าในปัจจุบันถึงแม้นจะมีความพยายามจากภาคเอกชน ที่ผลักดันไปยังสถาบันการศึกษาให้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางหลักสูตร และเสริมสมรรถนะให้กับนักศึกษา มีโครงการมาตรฐานวิชาชีพด้านโลจิตติกส์ที่ร่วมกันสร้างให้เกิดมาตรฐาน แต่สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเป็นเพียง "นโยบาย" และ "วิสัยทัศน์และเป้าหมาย" ที่ขาดพันธกิจที่เหมาะสม ภาคการศึกษาของไทยส่วนมาก ปรับเปลี่ยนหน้ากาก สร้างภาพลักษณ์จากกระบวนการ Marketing ทว่าการเปลี่ยนแปลงในเชิงการเรียนการสอนในสถาบันการศึกษาแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย 

กลุ่มปัญหาของการศึกษาด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนยังเกิดซ้ำไปมา อาทิ
  • ผู้สอนหรือผู้ถ่ายทอดมีจำนวนน้อยมากที่มีประสบการณ์ทำงานในด้านนี้โดยตรง ส่วนมากอาศัยการศึกษาและการทำวิจัย ในฐานะที่ปรึกษาด้านวิชาการ และไม่ได้รับการ upskill/reskill ในศาสตร์ที่เกี่ยวข้องและศาสตร์สมัยใหม่ ความร่วมมือในการพัฒนาบุคลากรจากภาคเอกชนมีมากขึ้น ทว่าผู้สอนหรือผู้ถ่ายทอดวิชาเหล่านี้ไม่พร้อม และไม่อยากพัฒนาขีดความสามารถของตนเองด้วยปัจจัยหลายด้าน เช่น ขาดการส่งเสริมสนับสนุนจากต้นสังกัดในการลาเพื่อศึกษา หรือมีความร่วมมือกับภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้อง
  • หลักสูตรการเรียนการสอนมีความล้าสมัย หากเทียบกับทักษะความรู้ที่ภาคเอกชนต้องการ การเปลี่ยนแปลงหลักสูตรการสร้างวิชาใหม่ มีขั้นตอนด้านวิชาการที่ไม่มีใครอยากเสียเวลาลงไปแก้ไข่ ลงมือทำ
  • นักศึกษาที่จบออกมาเป็นบัณฑิต (ทั้งในสาขาวิชาด้านนี้ หรือสาขาวิชาอื่นๆ) มีสภาวะพร่องความพร้อม ขาดทักษะ และมีความรู้กระท่อนกระแท่น ไม่พร้อมต่อการทำงาน ไม่เคยได้รับการฝึกฝนในทักษะที่ต้องการ หรือมีประสบการณ์ที่นอกเหนือจากห้องเรียนเพียงพอที่จะทำงานได้ทันที และเป็นภาระของภาคเอกชนที่จะต้องลงทุนในการอบรมเพิ่มเติม
  • เครื่องมือในการสอนมีจำกัด ประกอบกับ Teaching and Learning Base ที่ใช้ในสาขาวิชาด้านนี้ก็ไม่พร้อม ส่วนมากยังคงสอนโดยใช้การบรรยาย, มีจำนวนสัดส่วนของการพาไปเห็น เพื่อสร้างประสบการณ์น้อย, มีจำนวนหน่วยกิตที่จะสร้างประสบการณ์ให้นักศึกษาไม่เพียงพอ เช่น สหกิจ หรือการฝึกงาน รวมไปถึงคุณภาพของการหาประสบการณ์จากสหกิจและการฝึกงานเองก็มีไม่มากเช่นกัน 

จากประสบการณ์ของการนำ MonsoonSIM Simulation ไปแนะนำกับภาคการศึกษาในสายวิชาโลจิสติกส์และซัพพลายเชน พบว่าสถาบันการศึกษาส่วนใหญ่ ไม่เข้าใจกระบวนการเรียนรู้แบบ Integrated Knowledge and Skills ที่มีความจำเป็นอย่างมากในการทำงานด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชน และไม่เข้าใจกระบวนการเรียนรู้แบบ Dynamic Simulation Base เพื่อสร้างประสบการณ์เรียนรู้เชิงประจักษ์ (Experiential Learning) ให้กับผู้เรียน ยังคงพบว่า การศึกษาในสาขาวิชานี้ (รวมไปถึงสาขาวิชาอื่น ๆ) ที่ควรเพิ่มสัดส่วนของการ Hands-on ให้มากขึ้น ไม่เป็นที่เข้าใจในภาคการศึกษาของไทย 

วิธีการเรียนวิชาด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชยในปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนมาบ้างแล้วจากอดีต แต่ยังคงใช้เครื่องมือจากยุค 20-30 ปีก่อน ในการศึกษาปัจจุบัน รวมไปถึงวิธีการสอนในเรื่องที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นปัญหาเฉพาะเช่น 
  • ยังคงใช้ Static Tools เช่น Beer Game เป็นเครื่องมือในการเสริมสร้างความเข้าใจ 
  • มีการสอนวิชาด้านสารสนเทศเพื่อการจัดการโลจิสติกส์ แบบใช้การบรรยาย เนื่องจากไม่ลงทุนด้านเทคโนโลยีให้สอดคล้องกับหลักสูตร หรือหากมีการนำเอาสารสนเทศในเชิงซอฟต์แวร์มาใช้ ก็จะขึ้นกับแบรนด์ใด ๆ และสอนเพื่อให้เป็น ผู้ใช้ (ยูส เซอร์ เซ่อ เซ่อ) ไม่ได้สอนหรือให้สามารถนำเอาหลักวิชาที่เกี่ยวข้องไปประยุกต์กับแพลทฟอร์มหรือซอฟต์แวร์ที่อาจจะแตกต่างกันไปเมื่อไปทำงานจริง 
  • วิชาพื้นฐานที่มีความเกี่ยวข้องและเป็นฐานในความคิด เป็นเพียงทางผ่านของหลักสูตร เช่น บัญขี, เศรษฐศาสตร์, การเงิน, ภาษีอากร, สถิติ, การตลาด,  ภาษาอังกฤษ (ที่ยังสื่อสารให้มีประสิทธิภาพยังไม่ได้ ไม่รวมไปถึง English for Logistics and Supply Chain ที่นับรายมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนเฉพาะทางได้) ฯลฯ ซึ่งนักศึกษาส่วนใหญ่ใช้งานความรู้พื้นฐานเหล่านี้ได้อย่างไม่ถนัด 
  • ข้อจำกัดในวิชาเฉพาะทางเช่น Procurement Management, Cost Management เป็นวิชาที่สอนเพื่อจำ ไม่ได้สอนเพื่อทำงานได้จริง
  • วิชาที่ควรมี Hands-on และต้องมีประสบการณ์ตรงจึงจะเกิดความเข้าใจนั้น ถูกสอนด้วยการบรรยาย ทำให้ขาดประสบการณ์ตรง เช่น Warehouse Management, Demand and Inventory Planning 
  • วิชาที่ผู้สอนก็ไม่มีประสบการณ์ตรงในการทำงาน เช่น Information echnology System for Logistics and Supply Chain, International Logistics and Supply Chain Management เป็นต้น 
  • วิชาเฉพาะทางในบางสถาบันไม่มีผู้เชี่ยวชาญโดยตรง แต่ใช้สาขาวิชาที่ใกล้เคียงกันในการสอน เช่น Logistics Law อาจจะต้องใช้อาจารย์ด้านนิติศาสตร์สอนแทน, วิชาด้าน ERP ต้องไปพึ่งพาอาจารย์ด้าน IT ซึ่งไม่สามารถเน้นเรื่องเฉพาะทางด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนได้ 
  • ความสามารถในการเข้าใจ Business Processes และ Cross Functional ในเชิงเหตุผลระหว่างโซ่อุปทาน 
  • การเรียนการสอนเรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลด้าน Logistics & Supply Chain ที่ไม่มีข้อมูลจริง หรือมีข้อมูลจริงก็ไม่มีโอกาสได้ศึกษาอย่างใช้งานได้

สิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาและอุปสรรคสำคัญ ที่ทำให้การเติบโตด้านโลจิสติกส์ของไทยอาจไม่เป็นไปตามแผน การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอาจจะต้องเกิดการ "บูรณาการ" และ "การเปลี่ยนแปลง" ที่ "แท้จริง" มากกว่าการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ดูทันสมัยแต่ไส้ในยังเหมือนเดิม 

การเปลี่ยนแปลงมีบ้างแล้วในบางสถาบัน เช่น การร่วมมือกับภาคเอกชนเป็นทวิภาคี ซึ่งมีกำหนดเวลาในช่วงสั้นๆ เป็นไปตามงบประมาณที่ตั้งเอาไว้ ซึ่งบางแห่งไม่เกิดความต่อเนื่อง หรือเมื่อเปลี่ยนผู้บริหาร ทำให้ Connection เดิมที่มีเปลี่ยนแปลงไปเป็นต้น ในบางสถาบันการศึกษาเริ่มนำเอาผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกไปเป็นทีมผู้สอน ทว่าความโชคร้าย คือ เกิดขึ้นกับระดับปริญญาโทเท่านั้น ส่วนปริญญาตรีมีโอกาสที่จะได้เข้าถึงหรือได้รับการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ได้น้อยมาก และมีสัดส่วนด้านเวลาน้อยมากจนแทบไม่เกิดประโยชน์ หรือส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญได้ในการศึกษาด้านนี้ 

ข้อเสนอต่อการเปลี่ยนแปลงที่เป็นทิศทางที่ควรดำเนินไปของการศึกษาในสาขาวิชานี้ เช่น
  • การ upskill/reskill ผู้สอนในสาขาวิชานี้ ให้ได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชนมากขึ้น ที่จะถ่ายถอดการทำงาน, เทคโนโลยี เพื่อให้ผู้สอนเกิดประสบการณ์และสร้างผู้เรียนให้มีความพร้อมมากขึ้น โดยอาจได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐและภาคเอกชนในปฏิบัติการ National upskill/reskill ของบุคลากรทางการศึกษา
  • หลักสูตร วิชา หน่วยกิต ต้องปรับเปลี่ยนให้เกิดสัดส่วนของ Hands-on หรือการเพิ่มประสบการณ์มากขึ้น เช่น การเพิ่มจำนวนการฝึกงานของนักศึกษาให้เพิ่มขึ้นจากเดิม  1 เทอมให้มากขึ้น และมีความถี่และโอกาสมากขึ้นตั้งแต่ชั้นปีที่ 2  เป็นต้นไป และต้องฝึกงานในประสบการณ์ที่แตกต่างกันมากกว่า 2 ประสบการณ์ขึ้นไป, การจัดการศึกษาดูงานที่มีคุณภาพ ไม่ใช่การทัศนศึกษาเพื่อสันทนาการ, อาจต้องปรับลดวิชาที่ไม่มีความจำเป็น เช่น General Education ที่ไม่มีประโยชน์ต่อผู้เรียน ปรับให้เป็นวิชาที่สร้างประสบการณ์มากขึ้น หรือเพิ่มทักษะในด้านต่าง ๆ มากขึ้น 
  • มีเครื่องมือที่สอดคล้องและเฉพาะทางมากขึ้น เช่น ใช้ Simulation Base เพื่อสร้างประสบการณ์ และทำให้วิชาที่สอนแบบ static approching เป็น Dynamic Learning มากขึ้น  หรือมีโอกาสให้นักศึกษาไ้ดเห็นประสบการณ์หรือมีโอกาส Hands on เช่น ซอฟต์แวร์ ERP เป็นต้น 
  • กลุ่มวิชาด้านภาษาอังกฤษ เป็นอังกฤษเฉพาะวิชาชีพมากขั้นและถูกสอนโดยบุคลากรที่มีความเข้าใจด้าน Logistics/Supply Chain หรือในวิชาเฉพาะด้านกฎหมายก็ใช้หลักการเดียวกัน
Picture
Picture
ใน version 9.0 (มิ.ย. 2564) MonsoonSIM ประกอบด้วย 13 โมดูล ซึ่งการเลือก activation กลุถ่ม Modules คือการสะท้อนธุรกิจที่มีห่วงโซ่อุปทานที่แตกต่างกันไป ส่วนการ activation features ย่อย ๆ จะเป็นเพิ่มประสบการณ์ให้กับผู้เรียน โดบ 13 โมดูลประกอบด้วย; 
     1. การบริหารทรัยากรบุคคล (Human Resource)  
     2. การบริหารการจัดซื้อ (Procurement) 
     3. การบริหารส่วนผลิต (Production)
     4. การซ่อมบำรุง (Maintenance)
     5. การบริการลูกค้า และลูกค้าสัมพันธ์ (Customer Service)
     6. การบริหารค้าปลีก (Retail Sales)
     7. การบริการค่าส่ง (Wholesales)
     8. การวางแผนและการบริหารโลจิสติก และบริหารคลังสินค้า (Logistic & Warehouse)   
     9. การวางแผนงานเพื่อสนับสนุนการผลิต การขายสินค้า การบริหารสินค้าคงคลัง (Planning)
   10. การบริหารด้านการเงิน และการบัญชี (Finance and Accunting)
   11. การบริหารการตลาด (Marketing)
   12. การใช้ Management Information Systems ในการช่วยบริหารธุรกิจ เช่น MRP & ERP
   13. การบริหารและการจัดการ E-Commerce 
MonsoonSIM ในฐานะ Simulation ที่เติมช่องวางในการเรียนรู้ด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชน (ทั้งนี้ MonsoonSIM อาจไม่ใช่เครื่องมือเฉพาะทางด้านโลจิตสิกส์และซัพพลายเชนโดยตรงกับวิชาเฉพาะ และอาจไม่มี Simulation ที่พร้อมหรือถูกออกแบบมาใช้ในวิชาหนึ่ง ๆ โดยเฉพาะ)  ซึ่่งจะขอยกตัวอย่างประสบการณ์ที่ MonsoonSIM สามารถสร้างสถานการณ์และเป็นเครื่องมือช่วยให้นักศึกษาเข้าใจได้มากขึ้น จาก MonsoonSIM Version 9.0 (มิ.ย. 2564) ซึ่ง MonsoonSIM มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและครอบคลุม concepts ด้านอื่นย ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ 

โดยนำขอนำเอาเอาวิชาที่เปิดสอนด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชน (ที่อาจจะมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามสถาบันการศึกษา แต่มักจะมีโครงสร้างของวิชาคล้ายกัน มาเชื่อมโยงกับ MonsoonSIM Modules และ Features ต่างๆ)
ขอบเขต / ชื่อวิชาด้านโลจิสติกส์ซัพพลายเชน
MonsoonSIM Modules/Features
Organization and Modern Management       ​
สะท้อนด้วยการเปิดกลุ่มโมดูลที่หลากหลาย เพื่อสะท้อนองค์กรที่ต่างขนาดและมีความซับซ้อนต่างกัน 
​   Economics for Business
ใน MonsoonSIM มีส่วนของ Demand Forecasting ในตลาด B2B, B2C, e-Commerce เพื่อให้ผู้เรียน Supply ผ่านกระกระบวนการจัดซื้อ และการผลิตสินค้า
​ Principles  of  Marketing
ใน MonsoonSIM สร้างประมีส่วนผสมทางการตลาด หลากหลายเพื่อให้การทำตลาดกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็น Price, Place, Promotion, Process, รวมไปถึงสถิติและผลลัพท์จากการประกอบการที่แสดงผลเป็น Physical Evidence ได้
​ Systematic Thinking and Analysis
MonsoonSIM เน้นหลักการทำงานเป็น Logical มีกระบวนการทางธุรกิจมาตรฐาน ซึ่งจำลองระบบ ERP ของ SAP ตลอดจนมีข้อมูลแสดงออกมาในรูปแบบต่าง ๆ 
​Production and Operations Management
Module Production ที่สามารถ configurations Production Bill of Material ได้ ปรับเปลี่ยนต้นทุนในการผลิตได้ สร้าง margin ให้แตกต่างได้ด้วยการกำหนดราคาจาก algorithm ของ MonsoonSIM วัดผลคุณภาพในการบริหารจัดการได้ จาก Business Intelligent
​  Principles  of  Accounting,  Business Finance and Taxation
MonsoonSIM มีการบันทึกบัญชีอัตโนมัติ ผู้เรียนเป็นผู้ตัดสินใจทำกิจกรรม และสามารถเปรียบเทียบกับบัญชีในรูปแบบต่าง ๆ เช่น P/L, Balance Sheet, Trail Balance, Case Flow statement, มีข้อมูลด้านการเงิน ต่าง ๆ ซึ่ง MonsoonSIM ร่วมพัฒนาบางส่วนกับ Daekin University, Australia. 
ใน พฤศจิกายน 2564 CPA Integrated Report จะเป็น Concepts ใหม่ใน MonsoonSIM
Business Statistics,
Quantitative Analysis

ใน MonsoonSIM มีข้อมูลหลากหลายประเภท ตามรูปแบบของการบวนการทางธุรกิจ ที่ทำให้เกิดสถิติ
ต่าง ๆ มีการแสดงผลในรูปแบบตาราง และกราฟต่าง ๆ ให้ได้วิเคราะห์ ทั้งยังสามารถส่งออกข้อมูลเพื่อนำไปใช้ในการคำนวนนอก platform ได้ และนำข้อมูลใช้สร้าง Data Visualization เพื่อการวิเคราะห์ได้
​Demand and Inventory Planning
ใน MonsoonSIM มี Demand Forecast กำหนดขั้นต่ำของ Demand ในแต่ละตลาดได้, มี Concepts ของ ROP; Re-Order Point ที่ต้องเข้าใจเรื่องของ Saftety Stock, มีการวัดผลเรื่อง Inventory Turnover Ratio, Day Sales in Inventory และมุมมองต่าง ๆ เดี่ยวกับ Inventory Management
 Logistics Cost Management
MonsoonSIM มี Concepts เรื่องต้นทุนหลากหลาย เช่น COGS, OPEX, Logistic Cost, Financial Cost, ปรับเปลี่ยน Location ได้, ปรับเปลี่ยนต้นทุนของการขนส่ง และ Delivery Lead Time ได้
 Transportation Operation Management, Warehouse Management,  Distribution and Distribution Center Management
MonsoonSIM มี concepts ของการจัดการด้าน Logisctics, กระบวนการ Allocatation, Pack and Ship, อนุญาตให้มี Multiple Warehouse/Distribution Center ได้
​Logistics Information Technology System
MonsoonSIM พัฒนา Concepts จาก SAP ERP System ครอบคลุม Concepts เรื่อง FRM; SCM, MRP, HCM ซึ่งขยายขอบเขตความเข้าใจเรื่อง Information Technology System ได้เกินกว่าด้าน Logistics
ทัั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างที่นำเอาบางส่วนของรายวิชาด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนมาเพื่อเทียบว่า MonsoonSIM สามารถเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเรียนการสอนด้าน Logistics and Supply Chain ได้อย่างไร  ท้ังนี้ประโยชน์จะเกิดกับผู้เรียน เช่น ทำให้การเรียนรู้เกิดความสนุกด้วย Gamification, เกิดประสบการณ์ได้จาก Simulation, เป็นนักคิด นักแก้ปัญหา และยังมีทักษะการทำงานเป็นทีม รู้พื้นฐานด้านธุรกิจ และมีประสบการณ์ด้าน Information System พื้นฐานติดตัวไปด้วย และยังพัฒนาต่อเนื่องตลอดเวลา ในสนนราคาที่สถาบันการศึกษาจับต้องได้ สร้างประสบการณ์ให้ผู้เรียนได้ไม่จำกัด free upgrade ตลอดอายุการใช้งาน และไม่ต้องบริหารจัดการ เนื่องจากอยู่่บนระบบ Cloud Server 

MonsoonSIM ฺBusiness Simulation and Gamification จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ มากกว่าการเรียนการสอนในแบบเดิม เพื่อสร้างบัณฑิตสายโลจิสติกส์และซัพพลายเชนที่มีคุณภาพ เปลี่ยนแปลงรูปแบบการศึกษา และลดต้นทุนของภาพเอกชนในการอบรมบัณฑิตให้พร้อมทำงานให้น้อยลง 

Change the Way you Teach, Change the way you Learn ด้วย MonsoonSIM

0 Comments

ให้ MonsoonSIM Business Team Building เป็นทางเลือกสำหรับการสร้างทีมธุรกิจให้องค์กรของคุณ

6/4/2021

0 Comments

 
Picture
Team Building เป็นกิจกรรมหนึ่งที่องค์กรภาคเอกชนนิยมใช้กิจกรรมนี้ โดยมุ่งหมายให้บุคลากร "รู้จักและสนิทสนมกัน" และ "คาดหวัง" ว่าจะทำให้เกิดการทำงานประสาน ไปยังทิศทางและเป้าหมายเดียวกัน ที่เรียกว่า "Team Work" ซึ่งผลลัพท์ที่เกิดขึ้นหลังจากการลงทุนใน Team Building ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวังในทุกองค์กร  รูปแบบของ Team Building เกิดเมื่อราว ปีพุทธศักราช 2540 ในประเทศไทย และเริ่มเป็นที่นิยมในช่วงเวลานั้นต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งมักเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม Outing ประจำปี กระบวนการของ Team Building ถูกใช้โดยที่มีวัตถุประสงค์หลวม ๆ ไม่ได้จริงจัง กลายเป็นกิจกรรมที่ต้องมีเมื่อรวมเอาคนหมู่มากในบริษัท หรือกลุ่ม community ใด ๆ  ในองค์กรเข้าไว้ด้วยกัน วิธีการนี้ได้รับการเชื่อมั่นว่าเป็น "วิธีแก้ปัญหา" ที่ได้รับ "มรดก" ตกทอดของการศึกษา วิธีการวัดผลรายแผนกของฝรั่ง และสร้าง Silo Working Culture ขึ้นมา เมื่อมีโอกาสที่คนหลายกลุ่มในองค์กร จะมาใช้เวลาด้วยกันผ่านการ Outing สัมมนาประจำปี Team Building จึงเกิดขึ้นและเป็นที่นิยมในประเทศไทย 

โดยมากกระบวนการ Team Building มักจะเริ่มต้นด้วยกิจกรรมในลักษณะที่เรียกว่า "ละลายพฤติกรรม" (Ice Breaking) โดยเชื่อว่าจะทำให้แต่ละคน หรือ ส่วนใหญ่ของกลุ่มคนเข้าร่วมกันได้แบบหลวม ๆ และมักจะตามด้วยกิจกรรมที่มีลักษณะสันทนาการต่าง ๆ เช่น ร้องรำทำเพลง มีกิจกรรมที่มีภารกิจให้ทำ ซึ่งในบางครั้งผู้เข้าร่วมการกิจกรรมอาจตกในสถานะที่พลาดในภารกิจ และจบด้วยการทำโทษแบบตลกโปกฮา ซึ่งบ่อยครั้งทำให้เกิดการเสียหน้า ซึ่งอาจจะขัดกับความพยายามที่ต้องการให้คนเกิดทัศนคติในแง่ดีร่วมกัน แต่ด้วยธรรมเนียมปฏิบัติแบบไทยที่ทำต่อเนื่องกันมาก็ถือเป็นอันอนุโลมและได้รับการยอมรับโดนปริยาย การทำ Team Building ในลักษณะนี้ จะจบลงด้วยหากสนุกสนาน และตลกมากเท่าไหร่ อาจถือว่าประสบความสำเร็จ ซึ่งไม่ได้ผิดอะไรกับกิจกรรมที่เน้นความบันเทิงมากกว่าเป้าหมายเบื้องลึกที่องค์กรอยากได้  ซึ่งต้องตั้งคำถามให้ชัดเจนว่า องค์กรตัดสินใจทำกิจกรรม Team Building เพื่ออะไร  หากเพื่อเป็นการสันทนาการแบบนี้ถือว่าตรงเป้า แต่ถ้าคาดหวังใหญ่โตเกินกว่า Practice ที่ทำซ้ำจนเป็นที่นิยม แล้วบอกว่า ต้องการสร้าง Team Work น่าจะมาผิดทาง 

ในบางกรณี มีการสร้างแรงบันดาลใจเชิงกระตุ้นให้บุคคลฮึกเหิม เหมือนการขายในลักษณะ MLM ซึ่งได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้างในรายบุคคล เช่น การกระตุ้นยักษ์ในตัว ซึ่งตื่นเมื่อได้รับการกระตุ้น และกลับไปหลับทันทีเมื่อสิ้นสุดกิจกรรม และในลักษณะของกลุ่มคนอาจจะเกิด การทำงานเป็นกลุ่มด้วยใจฮึกเหิมชั่วคราว พอจบจากกิจกรรมที่มีลักษณะเป็น Event ตามความคิดของฝ่ายบริหาร หรือฝ่าย HR วิญญานที่ถูกปลุกชั่วคราวก็ลงหม้อดินเผาและมีผ้ายันต์ลงอาคม ที่เปรียบเสมือนกำแพงที่ป้องกันความผิดพลาดของแต่ละงานแบบ Silo Base Working อยู่ดี 

กระบวนการและขั้นตอนของ Team Building นอกจากมีวัตถุประสงค์ไม่ชัดเจนแล้ว กิจกรรมที่ถูก outsource ก็มักจะเน้นกิจกรรมที่ทำเป็นหมู่คณะ ซึ่งได้ผลการร่วมแรงร่วมใจเฉพาะในช่วงเวลาที่่มีกิจกรรมเกิดขึ้น และบางส่วนของการรู้จักกัน ซึ่งถูกแปลความว่า "ได้สร้างทีม" ขึ้นแล้ว ทว่าเมื่อกลับสู่สภาพการทำงานก็กลับไปยังสถานการทำงานแบบเดิม การทำงานในอุดมคติขององค์กรแบบ Team Work จึงเกิดได้ยาก 

ปัญหาสำคัญอย่างแรกที่ทำให้ Team Building ไม่ประสบความสำเร็จดั่งตั้งใจ คือ ความเข้าใจผิดเรื่อง Team Work

   ความเข้าใจผิดเรื่อง "ทีม" ของคนไทย ถูกผสมเข้ากับ "การทำงานเป็นกลุ่ม" เมื่อใดที่ คนหลาย ๆ คนทำงานร่วมกัน หรือ ถูกจัดให้ทำงานใด ๆ ร่วมกันจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็น "การทำงานเป็นทีม" เสมอ ซึ่งทำให้สิ่งที่ลงทุนไปจาก Team Building คลาดเคลื่อนจากสิ่งที่ต้องการ 
    การทำงานเป็นทีม มี "หัวใจ" หลัก ที่ถูกมองข้ามไป นั่นคือ "การมีจุดประสงค์หรือเป้าหมายเดียวกัน" และเมื่อมีเป้าหมายเดียวกัน ทุกคนจะมีส่วนใน Action ต่าง ๆ ร่วมกัน ตั้งแต่
  • กระบวนการวางแผนร่วมกัน (ความเห็นเล็ก ๆ น้อยๆ ของทุกคนได้รับการรับฟัง และมีส่วนร่วมในการวางแผน) 
  • กระบวนการทำงานร่วมกัน (โดยทุกคนมีหน้าที่ ความรับผิดชอบ เกณฑ์วัดผล ที่ประสานการทำงานเพื่อไปยังเป้าหมายเดียวกัน)
  • กระบวนการพิจารณาวัดผล และปรับแก้แผน และปรับปรุงการทำงานร่วมกัน
  • กระบวนการรับรู้ร่วมกัน (ทั้งในส่วนของความสำเร็จ และความผิดพลาด) 
       หากไม่มีหลักการสำคัญเหล่านี้ มักจะเป็น การทำงานเป็นกลุ่ม ไม่ได้เป็นการทำงานในลักษณะเป็นทีม (Team Work) แต่จะมีลักษณะ คือ เรียกกลุ่มว่าทีม แต่มีเพียงคนหยิบมือหนึ่งที่ Work 
         สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือ กลุ่มคนนั้น ไม่รับทราบถึง "ประโยชน์" ที่จะได้จากการทำงานร่วมกัน ทั้งใน "ภาพรวมขององค์กร" และ "ในระดับฝ่ายแผนก" หรือ "ในระดับบุคคล" ซึ่งมักพบว่าการจัด Team Building แบบทั่วไปนี้ ไม่ครอบคลุมเรื่องสำคัญ เท่ากับว่าสิ่งที่ภาคเอกชนลงทุนและรู้จักในนาม Team Building ในประเทศไทยเป็นเพียง Group Activity for receration เท่านั้น ไม่ได้มีนัยยะของ Team Work  


ปัญหาสำคัญต่อมา ในกรณีจะให้ Team Building สร้าง Team Work ให้องค์กร คือ กระบวนการจัดกิจกรรม ไม่สอดคล้องกับเป้าหมายที่ต้องการ

     ในกิจกรรม Team Building แบบทั่วไป มีการกำหนด Vision ของกิจกรรมอย่างง่าย ซึ่งมักเป็นการชนะ หรือทำ mission ที่ได้รับมอบหมาย และให้กลุ่มคนสร้างวิธีการทำงาน "ด้วยกัน" ในบางครั่งเป็นการทำงาน "ร่วมกัน" และแต่ว่าผู้เข้าร่วมกิจกรรม define ประโยชน์ในลักษระใด ทว่าส่วนมากมักมีเพียงไม่กี่คนที่ร่วมแบ่งปันความเห็น ความรู้ ทางเลือก ในกลุ่มคนที่รวมตัวกัน และเมื่อ execute แผนที่วางไว้ บางส่วนจะร่วมเพื่อให้ "เวลา" ผ่านไป และ "กิจกรรม" นั้นจบลง
       กระบวนการจัดกิจกรรม Group Activity for Recreation/Mission ที่ถูกเรียกว่า Team Building ในประเทศไทย มักจะอยู่ในลักษณะให้ "ร่วมแรง" กันส่วนใหญ่ "ร่วมคิด" กันบ้าง "ร่วมหารือ" กันไม่กี่คนในกลุ่มคนนั้น แต่ไม่ได้ร่วมเป้าหมายทางธุรกิจเดียวกัน อาจมีบ้างที่ Facilitator ของกิจกรรมจะปลุกวิญญานที่หลับใหลของคนส่วนมากได้หรือไม่  กิจกรรมมีทั้งรูปแบบของ การมีอุปกรณ์และไม่มีอุปกรณ์ เพื่อให้เกิดการทำงานด้วยกัน หรือ ร่วมกันในกลุ่ม โดยรูปแบบของกิจกรรมนั้น ไม่ได้มีส่วนใดเกี่ยวข้องกับ "ธุรกิจ" หรือ "งานที่ทำ" มีเพียงพิงหลักการบาง ๆ ว่า ต้องทำงานร่วมกัน  และหากพลาดใน mission ใด ๆ ก็อาจจะได้ การลงโทษที่ทำให้เกิดความละอายได้หากผู้นำกิจกรรมเน้นความตลกให้คนได้อาย เพื่อทำให้กิจกรรมต่อไป คนกลัวที่จะอายและต้องทำใจยอมทำงาน "ร่วมกัน" ให้ดีขึ้น รูปแบบนี้จึงเป็น get co-operation by penalty ไม่ได้เกิดจากความ "ปรารถนา" ที่จะบรรลุเป้าหมายร่วมกัน


ปัญหาสุดท้าย คือ การไม่มีโอกาส Decode ถอดความหมายของกิจกรรม Group Activity เพื่อปรับใช้ในงาน
​     Group Activity ในบางกิจกรรมมีสาระที่ดี มีการออกแบบที่ดี ทว่าสิ่งที่พลาดไปคือ การ Decode เพื่อถอดความหมายว่า เป้าหมายของกิจกรรมนั้นคืออะไร และเอาไปปรับใช้ในงานได้อย่างไร ส่วนมากจะเป็นเพียงการหวังว่า ผู้เข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มจะเข้าใจได้เอง เช่น เกิดสปิริตของการทำงานร่วมกันในบริษัท หรือองค์กรหลังจากจบกิจกรรมนี้  อุปมาคล้าย ๆ กับการให้นักศึกษาเรียนตามหลักสูตร และคาดหวังว่า นักศึกษาของไทยจะรวมร่างทุกวิชา และ integrated เข้าด้วยกันจนเกิดเป็น Super Hero ได้เหมือนในภาพยนตร์ และเท่าที่เห็นก็มีเพียงแง่มุมเดียวของกิจกรรมที่ถูกเรียกว่า Team Building แบบไทย 

ด้วยปัญหา 3 ประการข้างต้น จึงขอเรียก Team Building ในความเข้าใจของคนไทย ว่า Group Activity for Recreation/Mission มากกว่าที่จะะเรียนกว่า Team Building และอาจถูกเรียกว่า Group Bonding มากกว่า Team Building
Team Building ในความปรารถนาขององค์กร คือ การสร้างทีม เพื่อให้ทีมไปสร้างธุรกิจ ให้แข็งแรง เติบโต ปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์และแข่งขันได้  หรือควรเรียกว่า Business Team Buuilding เพื่อให้เกิดเป้าหมายที่ชัดเจน นำมาซึ่งกิจกรรมที่ถูกออกแบบเพื่อไปยังเป้าหมาย มากกว่า Group Bonding 
Picture
บรรยากาศในระหว่างกิจกรรม สมาชิกในทีมจะต้องวิเคราะห์ปัญหา, แลกเปลี่ยนข้อมูล, ทำงานประสานงานกัน โดยมีโจทย์เป็นปัญหาทางธุรกิจ ในความสั้นยาวของโซ่อุปทาน และความซับซ้อนในกระบวนการทางธุรกิจที่แตกต่างกันไป และยังแสดงความเห็นของผู้ที่มีประสบการณ์  

ทั้งนี้คลิปนี้เป็นตัวอย่างของ MonsoonSIM ในอดีต ตั้งแต่ version 3.08 ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวมี design principle เพื่อใช้ในการทำความเข้าใจเรื่อง ERP และ Business Funamental ในปัจจุบัน (มิ.ย. 2564) MonsoonSIM พัฒนามาถึง version 9.0 

Business Team Building คืออะไร
     หากแปลความหมายให้ตรงตัว  Business Team Building คือ การใช้กิจกรรมในรูปแบบต่าง ๆ สร้างให้บุคลากรทำงานร่วมกันในลักษณะทีม เพื่อให้บุคลากรสามารถทำงานประสานกัน โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างประโยชน์ให้เกิดขึ้นกับธุรกิจ เช่น ทำกำไรเพิ่มขึ้น, เกิดประสิทธิภาพสูงขึ้น เป็นต้น 

MonsoonSIM Business Simulation เป็นทางเลือกที่ดีตัวหนึ่งในการสร้าง Business Team Building ให้กับองค์กรของท่าน โดยมีคุณสมบัติดังนี้
  • เป็น Simulation ที่จำลองสถานการณ์ และปัญหาทางธุรกิจเพื่อให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้แก้ปัญหา ซึ่งจะได้มุมมองและทางเลือกในการแก้ปัญหาทางธุรกิจไปด้วย โดยสามารถสร้างความหลากหลายในตัวแปรต่าง ๆ เช่น ความสั้นยาวของห่วงโซ่อุปทาน, ความซับซ้อนในกระบวนการทางธุรกิจภายใน ทำให้เกิดประสบการณ์ และนำเอาไปปรับใช้กับงานจริงได้ ได้ทักษะในการแก้ปัญหา Critical Thinking 
  • กำหนดเป้าหมายของกิจกรรมใน Simulation ได้ชัดเจน ทั้งในระยะยาว เช่น การสร้างกำไรสุทธิ, การเพิ่มประสิทธิภาพของการบริหารจัดการเพื่อควบคุมต้นทุน ฯลฯ หรือการแก้ปัญหาระยะสั้น เช่น การจัดการ Excess Inventory, การแก้ปัญหาในการจัดการต้นทุนจากกระบวนการจัดซื้อหรือการผลิต  ซึ่งเป้าหมายต้องสอดคล้องและกลับมาส่งผลต่อธุรกิจขององค์กร
  • มีการวัดผลที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจที่หลากหลาย การวัดผลเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้มองเห็น หรือชี้จุดที่เกิดของปัญหาได้ และสามารถสะท้อนผลลัพท์ของการวัดผลในกิจกรรมที่ทำลงไป จากข้อมูลทำให้เกิดการเรียนรู้หลากหลายมิติ 
  • มีรูปแบบกิจกรรมที่ทำให้เกิดการทำงานร่วมกันเป็นทีม และเน้นการ Collaborate/Co-operate ของบุคลากรในองค์กร เพื่อการสร้าง Business Team Work โดยผู้เข้าร่วมกิจกรรมอาจจะต้องทำงานมากกว่าหนึ่งงาน ทำให้เกิดความเข้าใจในงานอื่น ๆ ถึงข้อจำกัด, ระยะเวลา, การวัดผล และความเสี่ยงของงานต่าง ๆ สร้างความเข้าใจใน และทำให้เกิดประสบการณ์ Cross Functional 
  • เป็น Simulation ที่สามารถลองผิดลองถูกได้ และเกิดความผิดพลาดได้ ซึ่งความผิดพลาดสามารถอธิบายได้ด้วยรูปแบบ และน้ำหนักการตัดสินใจ นอกจากจะได้ทีมแล้วยังได้ upskill/reskill พื้นฐานทางธุรกิจ และการจัดการได้อีกด้วย
  • ใน Sumulation ต้องมีการสื่อสาร ซึ่งเนื้อหาที่สื่อสารกัน ล้วนเป็นข้อมูลทางธุรกิจซึ่งเพิ่มน้ำหนักให้แตกต่างจากการสร้างทีมแบบอื่น ๆ และได้่ทักษะของการใช้ข้อมูลในการตัดสินใจเพิ่มขึ้น (Data Driven Decision) และเมื่อมีประสบการณ์ที่หลากหลาย ศัพท์เฉพาะทางของแต่งานจะเรียนรู้ได้ และทำให้การสื่อสารในองค์กรเกิดความเข้าใจกันได้มากขึ้น (Better Understading)
  • สามารถสร้างกิจกรรม เช่น การแข่งขันภายในองค์กร โดยการรวมกันของทีมจากฝ่ายต่าง ๆ ให้เกิดมีกิจกรรมร่วมกัน ในฐานะทีมเฉพาะกิจ 
  • ทำให้มองเห็นภาพรวมของการทำธุรกิจ สร้างสภาวะการเป็นนักแก้ปัญหา ที่มีทักษะแห่งการประกอบการในองค์กร (Coporate Entrepreneurship; Intrepreneurship)

หากองค์กรสามารถสร้างทีมธุรกิจได้สำเร็จ และทีมธุรกิจนั้นได้รับการติดอาวุธจากการเพิ่มขอบเขตของประสบการณ์จาก Simulation จะทำให้ทีมบุคลากรของท่าน สามารถที่จะบริหารจัดการธุรกิจได้ดีขึ้น, ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ, สร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงานอันเกิดจากความเข้าในกระบวนการทำงานระหว่างกัน, สามารถสร้าง Collaborate KPI ปรับเปลี่ยนรูปแบบ น้ำหนักของความสำคัญตามสภาพปัญหาได้ ทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันขององค์กรสูงขึ้น ซึ่งเป็นจุดประสงค์ที่องค์กรต้องการจาก Team Building

คิดถึงกระบวนการสร้างทีมทางธุรกิจ Business Team Building คิดถึงทางเลือกที่ดีที่สุดอย่าง MonsoonSIM Business Team Building Workshop 



0 Comments

การใช้ Simulation รวมพลัง Gamification สร้างการเรียนการสอนในยุค Disruptive

5/31/2021

0 Comments

 
Download Slide เรื่อง Education Transformation
     บทความนี้เป็นบทความที่มีความต้องการให้เห็นถึงประโยชน์ในการสร้างการเรียนการสอนที่ควรขะต้องใช้หลายวิธีการและหลายกระบวนการผสมกัน เพื่อสร้างผลลัพท์ที่สำคัญหนึ่งในการศึกษาคือ การเรียนรู้เชิงประสบการณ์ประจักษ์ (Experiential Learning; คำแปลโดยผู้เขียน) ซึ่งเป็นวิธีการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าการสอนให้จำ ท่องให้จำ (ผู้เขียนไม่ได้กล่าวว่าการเรียนแบบเดิมไม่มีประสิทธิภาพ ทว่าเพียงไม่สอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้ในปัจจุบันที่ ความรู้ ในระดับ What (มันคืออะไร) และ Why (มันมีประโยชน์อะไร) ซึ่งเพียงมีอินเทอร์เน็ต ก็สามารถเข้าใจได้ ทั้งในรูปแบบของตัวอักษร, ภาพ, คลิปเสียง และคลิปวีดีโอ ซึ่งมีมากมาย ทั้งในภาษาไทย และมากเป็นหลายเท่าทวีคูณในภาษาอังกฤษ
    การเรียนการสอนในแบบ What เพื่อเอาใจครูอาจารย์ในชั้นเรียน หรือ ตอบคำถามให้พ่อแม่เยินยอ ไม่เพียงพออีกแล้วในยุคปัจจุบัน ในยุคที่โลกกำลังถูก Disrupt ในอัตราวาร์ป (วาร์ป คือ ศัพท์ในการเดินทางท่องอวกาศ ที่มีความเร็วเหนือเสียงและแสงในหนัง Sci-fi ที่มีมาตั้งแต่ยุค 1970 เช่น ใน Startrek เป็นต้น)  ซึ่งหมายถึงเปลี่ยนแปลงรวดเร็วไปกว่า "ข้อจำกัด" ที่เป็นพื้นฐานของชุดความรู้ตั้งแต่หลังสมัย Renaissance เป็นต้นมา (ซึ่งความรู้เหล่านี้ยังเป็นสาขาวิชาคลาสสิคในโลกปัจจุบันที่ยังคงต้องเรียนเพื่อเข้าใจที่มาและรากฐาน พร้อมจะพัฒนาไปสู่ความรู้ใหม่ ๆ แต่มิใช่การเรียนจนเอาเป็นเอาตายในความรู้ที่อาจใช้การไม่ได้ในปัจจุบัน) 

ระบบการเรียนแบบ School และ Acadmic เกิดขึ้นเป็นระบบในโลกตะวันตก ราว 400-600 ปีก่อน (คริสตวรรษที่ 17-18) และมีอิทธิพลต่าง ๆ เช่น 
  • เปลี่ยนแปลงการเรียนในบ้าน, วัดและโบสถ์ สู่การเป็นสถาบันการศึกษา มีหลักสูตร (Pedagogy and Curriculum) อย่างเป็นทางการตามมาภายหลัง 
  • เปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคม ให้ความรู้กระจายตัวไป จากกระจุกตัวในกลุ่มคนชั้นสูง, นักบวช เป็นคนทั่วไป และพยายามให้ "เท่าเที่ยม" และ "ทั่วถึง" ในทางอุดมคติ  
  • เปลี่ยนแปลงวิธีเรียนจากการศึกษาธรรมชาติ, สังคม, สิ่งแวดล้อม แบบไม่เป็นระบบ จนมาเป็นระบบที่เรียก "ทฤษฎี" 
  • สร้างวิธีการเรียน และวิธีการสอน โดยอิงจาก "เทคโนโลยี" และ "ทุน" ที่มี 
  • แปลงการเรียนการสอนเพื่อให้ "มีความรู้" "มีความรู้เพื่อเลื่อนสถานภาพทางสังคม"  และ "ใช้ความรู้ไปทำงานเพื่อแลกปัจจัยในการดำรงชีวิตตามมาตรฐานทางเศรษฐกิจ (เงิน) " 

    วิธีการในประวัติศาสตร์ ถูก "ทำซ้ำ" มากกว่า "เปลี่ยนแปลง" และ "ได้รับการปรับปรุงแบบลูบหน้าปะจมูก" ในการเรียนการสอน "แบบไทย" มีผสมผสานเอาลริบททางสังคม และพัฒนารูปการเรียนการสอนเฉพาะแบบในสังคมเอเซีย (และมีต่านิยมแบบไทยที่ทำให้เป็น Thai-ism) ไม่ใช่การศึกษาของไทยไม่ดี เพราะว่า ไม่มีที่ใดในโลกที่รู้สึกว่าการศึกษาของประเทศตัวเองนั้นดีเลย เพราะว่า "ทุกคน" เชื่อว่าการศึกษาคือ "รากฐาน" ของอนาคต และการสร้างคน จึงไม่มีใครใคร่พอใจกับการศึกษาที่ประเทศตนเองนั้นเป็นอยู่  เช่น ในประเทศที่ไทยเชื่อว่าการศึกษาของเขาดี อย่างสหรัฐอเมริกา ก็มีปัญหาทางการศึกษามากมาย ที่มีรูปแบบปัญหาแตกต่างกันไปตามสภาพของสังคม เช่น การกีดกันเชื้อชาติกับการศึกษา ปัญหาของรายได้ของครอบครัวที่่ทำให้การศึกษาถูกจำกัด จึงมีองค์กรอย่าง Teach for America เกิดขึ้น และมี Vision ว่า อยากให้การศึกษาของเขาทั่วถึง เท่าเทียม อย่างมีคุณภาพ 
     ในประเทศไทยนั้นมีปัญหาการศึกษามากมาย ทั้ง ๆ ที่ กระทรวงศึกษาธิการของไทยเป็นอันดับ 1 ในด้านงบประมาณ ซึ่งแปลความได้ว่า ใช้เงินเป็น ไม่มีประสิทธิภาพ หรือ มักถูกบอกจากคนในภาครัฐว่างบประมาณไม่เพียงพอ เราวนอยู่กับปัญหาซ้ำไปซ้ำมา และอุปมาดั้งเราคันไปทั้งตัวจากการเป็นเรื้อน เราจึงเกาเท่าไหร่ไม่ถูกที่คัน  เอาเป็นว่าในบทความนี้เราจะพูดถึงแต่ กระบวนวิธีการในการเรียนการสอน ซึ่งควรต้องเปลี่ยนแปลงให้ "หลากหลาย" มากกว่าที่เคย (LTT; Learning and Teaching Transformation เป็นหัวข้อที่ผู้เขียนสนใจในกระบวนการ Education Transformation; Link ไปยังงานสัมมนาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงการศึกษา) ในบทความนี้ เราจะมาเน้นถึงการใช้วิธีการเรียนรู้ เพื่อให้เห็นเป็นทางเลือกของการศึกษาไทย 
Pictureภาพแสดงตัวอย่างของ Learning and Teaching base ในโลกของการศึกษา และการอบรม

Picture
     ในโลกของการศึกษามีวิธีการเรียนการสอน Leaning and Teaching Base มากมาย ซึ่งสำหรับการเรียนการศึกษาอันได้รับอิทธิพลมาจากยุคที่ การเรียนหนังสือเป็นของวิเศษแบบไทย ที่มีค่านิยมนี้เมื่อคนชั้นกลาง และล่างเริ่มมีโอกาสเข้าเรียนในโรงเรียน เมื่อร้อยกว่าปีก่อน และมหาวิทยาลัยเมื่อประมาณ 60-80 ปีก่อน ในประเทศไทยนั้น KNOWLEDGE BASE คือ การเน้นที่ "ความรู้" แบบท่องจำ ตกต้องกับสังคมเจ้าบทเจ้ากลอน และการเรียนการสอนที่เริ่มจากร้อยกว่าปีก่อน ที่มีข้อเสีย คือ เราไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง ในกระบวนการวางแผนการเรียนการสอน ในวิชาทั่วไปทั้งหมด (ยกเว้นวิชาเฉพาะทาง Pure Science) มักเน้น Knowledge based มากกว่า 80% และ เมื่อการศึกษาถูก "ท้าทาย" จากการแข่งขันกันโดดเด่นของนักบริหารการศึกษา วิธีและการบวนการอื่น ๆ ถูกนำมาใช้บ้างแบบ "ไม่ให้เสียของ" และ "พอมีจะโชว์ให้ทันสมัย" และ "ตรวจประเมินมาตรฐาน" (ที่ตรวจกันทางเอกสารเป็นสำคัญ) เช่น เอา activity base มาบ้าง ให้ทำงานแบบกลุ่ม Team base บ้าง ในอุดมศึกษา เรียน 4 ปี ก็ต้องมี Project base 1 โครงการก่อนจบ และเชื่อว่า นักศึกษาได้ประมวลเอาความรู้ทั้งหมดมาทำบ้าง มีการส่งไปสหกิจ หรือฝึกงาน เพื่อให้เกิด Experiential base บ้างซึ่งได้ผลน้อย เพราะว่า ความร่วมมือของสถานประกอบการในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของพัฒนานการทางการศึกษาไม่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง ทั้งหมดนี้ผู้เขียนจึงบอกว่า เราใช้แบบพอมี แต่ เราใช้ Knowledge based 80% และต่อให้เราจะมีรุปแบบการเรียนการสอนอย่างไร การวัดผลทางการศึกษาของเราก็อิงตาม Knoไledge base ตามหลักสูตร ตั้งแต่ Syllabus, Pedagogy ยัน Curriculum อยู่ดี 

       ในบทความนี้จะเน้น สองกระบวนวิธีการใหญ่ ได้แก่  Simulation Base Learning และ Game Base Learning (ที่ในที่่นี่อนุโลมเรียกว่า Gamification) ซึ่งผสามผสาน Learning/Teachning Base อื่นๆ เข้าด้วยกัน เพื่อไปยัง Experiential Learning  หรือการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ประจักษ์ (เป็นประสบกาณืที่เกิดจากการลงมือทำและเห็นผลลัพท์ที่วัดผลได้)
Simulation Base Learning (จากนี้จะย่อว่า SBL) หรือ กระบวนการเรียนรู้ผ่านสถานการณ์เสมือนจริงนั้น ในอด้ดีตเมื่อเทคโนโลยีด้าน software และ Internet ยังไม่พัฒนาเท่าปัจจุบัน ทำให้มีราคาแพงและมีกระบวนการเตรียมการเรียนการสอนค่อนข้างยุ่งยาก และมักใช้กับเรื่องเชิงเทคนิคต่าง ๆ เช่น Flight Simulator ในการจำลองการบิน เพื่อฝึกหัดนักบินให้รับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ และลดต้นทุนในการฝึกบนเครื่องอากาศยานจริง เป็นต้น ทว่าในปัจจุบันเทคโนโลยีด้าน Software และ Internet รวมไปถึง Cloud Server ต่าง ๆ ได้ทำให้ การเรียนรู้ด้วย SBL ทำได้ง่ายขึ้น ต้นทุนถูกลง เข้าถึงกลุ่มนักเรียนนักศึกษาได้ง่ายขึ้น บ่อยครั้ง ผ่านทาง devices ต่างๆ ที่มีราคาถูกลงเรื่อยๆ เช่น Tablet, Laptop หรือ Notebook

คำจำกัดความของ Simulation มีความหมายดังนี้ 
  • a model of a set of problems or events that can be used to teach someone how to do something, or the process of making such a model (by Cambridge)
​
  • A simulation is the imitation of the operation of a real-world process or system over time.[1] Simulations require the use of models; the model represents the key characteristics or behaviors of the selected system or process, whereas the simulation represents the evolution of the model over time. Often, computers are used to execute the simulation.

    Simulation is used in many contexts, such as simulation of technology for performance tuning or optimizing, safety engineering, testing, training, education,[2] and video games. Simulation is also used with scientific modelling of natural systems[2] or human systems to gain insight into their functioning,[3] as in economics. Simulation can be used to show the eventual real effects of alternative conditions and courses of action. Simulation is also used when the real system cannot be engaged, because it may not be accessible, or it may be dangerous or unacceptable to engage, or it is being designed but not yet built, or it may simply not exist.[4]

    Key issues in modeling and simulation include the acquisition of valid sources of information about the relevant selection of key characteristics and behaviors used to build the model, the use of simplifying approximations and assumptions within the model, and fidelity and validity of the simulation outcomes. Procedures and protocols for model verification and validation are an ongoing field of academic study, refinement, research and development in simulations technology or practice, particularly in the work of computer simulation. (by Wikipedia)
​
  • Simulation-based learning integrates cognitive, technical, and behavioral skills into an environment where learners believe the setting is real, act as they would responding in the field, and feel safe to make mistakes for the purpose of learning from them. Whether you use low- or high-fidelity tools, the primary goal of simulation-based learning is to improve teamwork and communication skills. (by https://www.aap.org/)
 
  • Simulation-based learning offers learning with approximation of practice, allows limitations of learning in real-life situations to be overcome, and can be an effective approach to develop complex skills. Beaubien and Baker (2004) define a simulation as a tool that reproduces the real-life characteristics of an event or situation. A more specific definition suggested by Cook et al. (2013) stated that simulation is an “educational tool or device with which the learner physically interacts to mimic real life” and in which they emphasize “the necessity of interacting with authentic objects” (by https://journals.sagepub.com/doi/full/10.3102/0034654320933544)

       MonsoonSIM เป็น Business Simulation ซึ่งมีเป้าหมายหลักเพื่อใช้ในการเรียน การสอนศาสตร์ต่าง ๆ ในทางธุรกิจเข้ากับการบริหารจัดการแบบบูรณาการ หรือทำให้โลกของข้อมูลทางธุรกิจจับต้องและเรียนได้ง่าย เข้าใจได้มากขึ้นจากการสอนแบบเดิม ทั้งหมดนี้คือ ประกอบการณ์ซึ่งผู้เรียนลงมือทำและเห็นผลลัพท์จากการลงงมือทำในระยะเวลาอันสั้น  ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้เรียนโดยนำเอา "ชุดความรู้" มาผสมเข้าคู่กันกับกิจกรรมต่าง ๆ เกิดเป็นประสบการณ์เพื่อความเข้าใจที่มากขึ้น หรือ สร้างประสบการณ์จากกิจกรรมในโลกเสมือนก่อนเพื่อทำให้ความเข้าใจในเนื้อหา หรือทฤษฎีต่าง ๆ จับต้องได้มากขึ้น 

หากเปรียบเทียบ SBL (เช่น MonsoonSIM) กับ Leaning base แบบอื่น ๆ ในทางการเรียนการสอนธุรกิจ การบริหารด้านต่าง ๆ และเรื่องการเรียน Business Information จะได้ประโยชน์กว่าดังนี้ 
  • Role Play Base Learning หรือการจำลองบทบาทสมมติ จะสร้างได้อย่างไร หากผู้เรียนไม่มีประสบการณ์ในโลกธุรกิจมาก่อน ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของการเรียนการสอน คือ นักเรียนไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำงานจริงในด้านนั้น ๆ และในบางสถาบันถูกสอนโดยอาจารย์ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ตรงในการทำงานในโลกธุรกิจจริง การใช้ Role Play กับผู้ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ตรงนั้น คือ การเล่นละครที่ไม่สมบทบาทกับโลกจริง เช่น ให้ฝ่ายหนึ่งเป็นผู้บริโภค ที่ไม่ได้เข้าใจผู้บริโภคแท้จริง ไม่ได้เข้าถึง Emphathy ที่แท้จริง กลไกการตัดสินใจก็ไม่เสมือนจริง แต่ทั้งนี้ย่อมดีกว่าการเรียนแบบ Knowledge base อย่างเดียวแน่นอน 
  • Case Study Base Learning หรือการเรียนจากกรณีศึกษา เป็นวิธีที่โลกการศึกษามักนำมาเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนการสอน ซึ่งหาก Case study มาจากงานวิจัย ก็น่าจะมีคุณภาพพอให้อธิบายกับนักศึกษาได้อย่างละเอียด ทว่าการใช้ Case Study Base ในการเรียนการสอนวิชาด้านธุรกิจ และการจัดการ มักมาจากเรื่องบอกเล่าเสียมากกว่าประสบการณ์ตรง และ มักถูกจำกัดในเฉพาะมุมที่ผู้สอนสามารถตอบคำถามได้ หรือไม่ก็โดนมายาแห่งการสอบ คือ จะต้องมีถูกมีผิดในการตัดสินใจ ซึ่งไม่มีโอกาสจะเข้าใจปัจจัยแวดล้อมที่เป็นฐานของการตัดสินใจจริง ๆ เช่น Vision Mission Statement, Corporarte Resources, สภาพของตลาดในสถานการณ์จริง ๆ การเรียนด้วย Case Study Base จึงอาจจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะว่า การรู้ให้รอบ คิดให้รอบ และประสบการณ์เป็นตัวแปรสำคัญในการตีความ รวมไปถึงข้อจำกัดของผู้สอนเองด้วย แต่ทั้งนี้ย่อมดีกว่าการเรียนแบบ Knowledge base อย่างเดียวแน่นอน
  • Problem Base Learning หรือการเรียนจากวิเคราหะ์ปัญหา เป็นวิธีการคล้าย ๆ กับ Case Study และมีกลุ่มปัญหาใกล้เคียงกัน กับ Case Study ทว่า อาจจะอยู่ในกลุ่มปัญหาทีขนาด และความซับซ้อนแตกต่างกันไป สิ่งที่ขาดไปคือ วิเคราะห์ปัญหาได้ แล้ว คิดหนทางแก้ไข แต่ไม่มีทางรู้ได้ว่า การแก้ไขปัหาที่วางแผนไว้ จะมีผลลัพท์ออกมาตามที่ต้องการหรือไม่ แต่ทั้งนี้ย่อมดีกว่าการเรียนแบบ Knowledge base อย่างเดียวแน่นอน
  • Team Base Learning หรือการเรียนเป็นก้อนและทำงานกลุ่ม นั้น แทบจะไม่มีกลุ่มใดเลย หรือมีสัดส่วนน่อยมากของเด็กไทย ที่ทำงานร่วมกันในงานกลุ่มอย่างจริงจังใน assignment ที่ได้รับในชั้นเรียน การทำงานเป็นกลุ่มมักออกมาในรูปแบบของรายงานรูปเล่ม ที่อ้างอิงทั้งแบบอ้างอิง และไม่อ้างอิง ตัดแปะจากข้อความอื่น ๆ มาผสมกันให้งานเสร็จ ทั้งนี้ยังไม่รวมกับความเข้าใจผิดระหว่างการทำงานร่วมกัน กับการทำงานเป็นทีม ของคนไทยด้วย ซึ่งงานกลุ่มที่เป็นเอกสารเหล่านี้อาจเสียเวลาเปล่า ๆ แต่ทั้งนี้ย่อมดีกว่าการเรียนแบบ Knowledge base อย่างเดียวแน่นอน
  • Activity Base Learning หรือการลงมือทำกิจกรรมจริง ทว่าเกณฑ์การวัดผลทำให้การลงมือทำแบบนี้อาจไม่เกิดประโยชน์ เช่น  สาขาบริหารธุรกิจ มันมีกิจกรรรมให้นักศึกษาปี 4 นำสินค้ามาขาย ในรูปแบบงานจบ หรือ บางที่เป็นบริษัทจำลอง ที่ผิดเพี้ยนตั้งแต่กระบวนการ เช่น สินค้าเอามาจากรุ่นพี่ คนรู้จัก หรือเครือญาติ  เอามาก่อนได้ ขายไม่ได้ก็คืน ซึ่งโลกธุรกิจทำแบบนี้ไม่ได้หรอกในรายเล็ก เขาให้เพราะว่าเห็นว่าเป็นนักศึกษา แบบนี้เริ่มต้นก็ผิดแล้ว หรือในสาขาวิชาท่องเที่ยว มักให้จัดทัวร์นำไปขาย ซึ่งใช้วิธี ขายพ่อแม่ปู่ย่าตายาย เพื่อให้เกิดยอดขาย ตามเกณฑ์ให้ผ่านเท่านั้น Acttivity แบบนี้ไม่เกิดประโยชน์ หาก measurement ผิด และไม่มีการถอดบทเรียน แต่ทั้งนี้ย่อมดีกว่าการเรียนแบบ Knowledge base อย่างเดียวแน่นอน

ไม่มีเครื่องมือใด เป็นเครื่องมือที่ครอบคลุมทุกควมต้องการ ทว่าหากผู้สอนมีการใช้ Multiple Learning Base ที่เหมาะสม และหลากหลายย่อมดีกว่า การเรียนการสอนแบบ Knowledge Base ที่สอนกันในห้อง และผู้สอนพูดฝ่ายเดียวเสียส่วนมาก การเอา Simulation Base ++  Learning Base นั้นอาจจะให้ผลดีมากว่าหลายเท่า 

Learning Base Mix (LBX) + Simulation Base Learning (SBL) คือทางออก และคำตอบที่ดีกว่า
      Learnining Base Mix (ต่อไปจะย่อว่า LBX) คือ การผสมผสานวิธีการเรียนหลากหลายแบบเข้าด้วยกันเพื่อเอาชนะข้อจำกัดในการเรียนการสอน ซึ่งการผสมผสาน LBX เข้าด้วยกันนั้น ไม่ใช่เรื่องใหม่ในโลกการศึกษา ทว่าไม่เคยถูกปฎิบัติแบบจริงจัง เนื่องด้วยข้อจำกัดหลายประการ เช่น จำนวนผู้เรียนต่อชั้นเรียน ซึ่งในประเทศไทยเป็นข้อจำกัดอย่างมาก (ทว่าขอให้ครูอาจารย์มืออาชีพเอาชนะอุปสรรคนี้ให้ได้ ด้วยกระบวนการ LTT; หรือ เปลี่ยนวิธีการสอน เพื่อเปลี่ยนผลลัพท์ทางการศึกษา), ครูอาจารย์ไม่เปลี่ยนบทบาทเมื่อใช้ LBX (ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่สุด การใช้ JBX นั้น ครูอาจารย์ต้องกลายร่าง และเปลี่ยนวิญญานไปด้วย ไปสู่การเป็น facilitator, Consultant หรือ Coach), ต้องเปลี่ยนและฆ่าวิธีการวัดผลแบบเดิม (ซึ่งการวัดผลในเชิงคะแนนเพื่อตัดเกรด เป็นตัวปัญหาในการทำให้ LBX ไม่ประสบผลสำเร็จ) 

ข้อต้องคำนึงในการใช้ LBX
  • จะต้องเข้าใจหลักการ และสร้างวิธีการในแต่ละ Learning base ที่จะใช้ให้ดีเสียก่อน เช่น
    • ​การใช้ Role Play นั้น ต้องบิดรูปร่าง ไม่ใช่ให้นักศึกษาที่ไม่เข้าใจ character มาเป็นผู้เล่น ทว่าเปลี่ยนเป็นการไปศึกษา Character แบบที่ในภาคบันเทิงเขาทำ เพื่อสร้างความเข้าใจ หรือเรียนรู้จากมืออาชีพที่เป็นเข้าของบทบาทจริง เช่น ผู้ประกอบการจริง, ผู้ประสบปัญหาจริง ซึ่งอาจใช้การสัมภาษณ์ การถอดรหัสจากสิ่งที่เกิดขึ้น มากกว่าการใช้บทบาทสมมติมาแสดงละครตบตากัน
    • การใช้ Problem Base/Case Study ต้องครอบคลุมข้อมูลประกอบในหลากหลายมิติ ให้ท่านสร้างให้นักศึกษาสวมวิญญานเป็นนักวิจัย (ซึ่งเป็นเรื่องถนัดส่วนมากของอาจารย์ไทย ควร Enhance บทบาทนี้) โดยท่านต้องสร้างนักตั้งคำถาม และเป็นนักตั้งคำถามที่ดีให้เป็นตัวอย่าง แนะนำพื้นฐานของการเลือกใช้ และพิจารณาข้อมูล (เอาระเบียบวิธีวิจัยมาปรับใช้ให้ง่ายขึ้นกับนักศึกษา และค่อยเพิ่มดีกรีของการใช้ข้อมูล การตรวจสอบข้อมูลให้่มากขึ้น) 
    • การใช้ Team Base/Activity Base นั้นให้ ตั้งเป้าหมายของการเรียนให้ชัดเจน เช่น เรียนเพื่อนรู้และปรับใช้ ไม่ใช่ทำเพื่อให้ผ่านเกณฑ์ประเมินเพื่อคะแนน การทบทวนปัญหาที่เกิดขึ้น (วิธีการนี้ในโลก startup เรียกว่า retrospective) ไม่ปล่อยทิ้งโอกาสในการสร้างผู้เรียนไป เพียงเพราะจบกิจกรรมหรือการนำเสนอ 
  • ​จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง measurement เสียใหม่ ซึ่งอย่าไปเสียเวลาให้ระบบเปลี่ยนแปลงเลยท่านต้องเปลี่ยนแปลงจากอำนาจเล็ก ๆ ในขอบเขตของท่าน ทำให้วิชาที่รับผิดชอบเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น การสร้าง measurement ใหม่ เช่น ไม่ใช้ระบบเกรดแบบไร้สติ (แต่ต้องเทียบเกรดให้ระบบงี่เง่าการศึกษาของไทยได้), ไม่มีคะแนนอันเกิดจากส่งครบจบแน่, ไม่มีการผ่านด้วยเสน่หา หรือ ตัดให้ผ่านเพื่อจะได้ไม่เป็นภาระแต่ไม่มีคุณภาพ การปล่อยให้นักศึกษาตกอาจจะเป็นปัญหาต่อครูอาจารย์ในระบบธุรกิจการศึกษาของไทย และมีปัญหากับทีมบริหาร แต่การที่สถาบันการศึกษาใช้ระบบจ่ายครบจบแน่ ก็ทำให้ประเทศเสียหายอันเกิดจากการไม่รับผิดชอบของภาคการศึกษา อย่างไรก็ตาม การปรับเปลี่ยน measurment นั้น มีหลักการวางอยู่ตาม Learrning Base ที่ท่านใช้ เช่น
    • ​Role Play คือ สามารถอธิบาย เข้าใจบทบาท ปัญหา ของแต่ละบทบาทในการทำงานจริง แบบ in-depth สามารถระบุได้ว่า การตัดสินใจจริง จากการศึกษา role play เกิดขึ้นจากปัจจัยใด ซึ่งแบบนี้ถือว่า ผ่าน และใช้การได้จริง 
    • Problem base/Case study นั้น หาก Identify ปัญหา สาเหตุ ปัจจัยแวดล้อม ข้อจำกัด คู่แข่ง และสภาพการณ์ต่าง ๆ ได้หลากหลายมิติ และเชื่อมโยงกับการวิเคราะห์ก็ถือว่าผ่าน แต่หากสามารถเสนอทางเลือกในการแก้ปัญหาได้เป็นทางเลือกที่ valid ในเชิงปฏิบัติได้จริง ส่วนจะให้ผลผิดหรือถูกหรือไม่อาจไม่มีใครตอบได้ แต่ถือว่า ดีกว่ามีคำตอบเดียวที่ท่องจำมา 
    • Team Base/Activity Base หากสามารถ Decode สิ่งที่ทำลงไป รู้ข้อผิดพลาด และแนวทางการแก้ไข และหากได้ทดลองทำอีกครั้ง หรือแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นต่อเนื่องในอีก 1-2 วงรอบ และบอก SWOT (แบบคลาสสิค) และประเมินตัวเองได้ ก็ถือว่าให้ผ่านได้ 
      • ​โดยส่วนตัวไม่ใช่ครูอาจารย์ที่โดยระบบงี่เง่าทำร้าย แต่หากใช้หลักการนี้ ผ่านดีมีเหตุผล เห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ให้เทียบเกรด A,B พอเรียนรู้ให้เป็น C,D แบบนี้เกรดก็สะท้อนคุณภาพ ไม่ใช่จากคะแนนเก็บ + คะแนนเข้าห้อง ที่รวมกันมาากกว่า 60% แบบปัจจุบัน และวัดผลจาก Competency ในวิชาเหลือเพียง 30% อีก 10% เป็น Discipline Score แบบปัจจุบัน 
  • เลือกผสม Learning Base และ Mix ในขอบข่ายวิชาของตนตาม vision mission ของวิชา 
    • ​อาจไม่ต้อง Mix หลากหลาย Base ใน  12-15 ครั้งตามเวลาที่มี หรือ หากท่นรับผิดชอบหลากหลายวิชา ให้ mix base กับนักศึกษาในกลุ่มเดิมให้หลากหลายตามจำนวนวิชาที่นักศึกษามีโอกาสดีดีกับท่าน 
    • กิจกรรมอาจจะไม่ต้องตรงกับ มคอ. "ไม่มีใครอ่าน" สิ่งที่เป็นเอกสาร คือเป็นเอกสาร ส่วนคุณภาพให้มาจากจิตใจของครูอาจารย์มืออาชีพ
    • การเปลี่ยนแปลงเป็นของยาก และต้องทดลอง โดยให้พยายามลด Knowledge Base จากการ lecture เป็นการ discusssion, การทำ brainstrom, การตั้งคำถาม จะวิธีการใดก็ได้ ให้ลดจำนวนการพูดในชั้นของท่านลงเรื่อย ๆ และให้นักศึกษาได้พูดและคิดมากขึ้น วิธีการนี้จะ flip หรือ flop classroom หรือจะเรียกว่าอะไร ก็ได้ แต่จุดมุ่งหมายคือ เปลี่ยนจาก Passive student >> Active Student >> Passive Learner >> Active Learner

การ PLUS SIMULATION BASE LEARNING เพื่อสร้าง LBX
       การเปลี่ยนแปลงวิธีการเรียนการสอน จาก Knowledge Base อย่างเดียว (เพียวๆ) กับ Learning Base แบบอื่นๆ  นั้น ผ่านการทดลองมาแล้ว ซึ่งได้ผลหรือไม่ได้ผลบ้าง ขึ้นอยู่กับ "สัดส่วน" หรือ "การให้น้ำหนัก" ในการผสมผสานหลาย ๆ Learning Base เข้าด้วยกัน 
  • ใช้ Knowledge Base Learninig เป็นฐาน ในระหว่างการเริ่มต้นการ LBX
  • เริ่มต้นใช้บาง Learning Base เปลี่ยนวิธีการเรียนการสอน เช่น การใช้ Problem Base ให้นักศึกษาหัดตั้งคำถาม ที่หลายหลายมุมมอง และเริ่ม intergrated หลาย ๆ ชุดคำถามเข้าด้วยกัน โดยเริ่มจากหลักการใช้ 5WXH การใช้วิธีนั้น อาจไม่จำเป็นต้องให้คำตอบนักศึกาาในทุกคำถาม  แต่ควร Learning by Question กลับไป เช่น คำถามที่นักศึกษาถามมา จะเกิดประโยชน์อย่างไรให้เขาอธิบายก่อน 
    • ​ปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อเริ่มใช้กระบวนการนี้ครั้งแรก ๆ คือ นักศึกษาของไทย ไม่เคยถูกฝึกให้เป็นนักตั้งคำถาม และ มีประสบการณ์เลวร้ายจากการตั้งคำถามในระบบการศึกษาเดิมของไทย คือ การถามในเรื่องที่สอนแล้ว = การไม่ตั้งใจเรียน ซึ่งทำให้นักศึกษาไทยส่วนมากไม่กล้าถาม นั่นรวมไปถึงการถามจะเป็นเรื่องของเด็กเรียนเท่านั้น ครูและอาจารย์ที่เลือกใช้วิะีการแบบนี้ ต้องสร้างความคุ้นเคย ใช้อารมณ์ขัน ใช้จิตวิทยาในการสร้างให้เกิดกระบวนการ อยากถามเพราะอยากรู้ อยากถามโดยไม่ต้องกล้ว ซึ่งท่านอาจารย์ผู้สอนก็ต้องปรับทัศนคติร่วมไปกับนักศึกษาด้วย
    • ครูอาจารย์หลายท่าน อาจมีความกลัวว่า จะต้อง Provide คำตอบให้ทุกคำถาม ซึ่งเป็นวิธีคิดแบบเดิม ๆ ไม่มีใครรุ้ทุกเรื่อง เข้าใจทุก Industry การร่วมกันหาคำตอบเป็นงานวิจัยร่วมกันทั้งครูอาจารย์และนักศึกษา อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของ Team Base Learning ได้เช่นกัน 
Picture
  • การผสม Knowledge base ด้วย Case Study เป็นตัวอย่างให้กับนักศึกษา วิธีนี้ไม่ได้แปลกใหม่ ทว่ามีข้อแนะนำดังนี้ครับ 
    • ​ใช้ตัวอย่างที่ "ร่วมสมัย" กับนักศึกษา ไม่ยกตัวอย่างที่ไกลตัว  เช่น นักศึกษาใน Gen millenial  นั้น ไม่รู้จัก KODAK ควรเลิกใช้ตัวอย่าง classin นี้กับ การสอนวิชา Digital Marketing เสียที ควรเอาตัวอย่างที่เข้าสามารถจับต้องได้ หรือเข้าใจได้ และร่วมสมัยกัน  เช่นตัวอย่าง การเขา้ใจธุรกิจมากขึ้นจากเกม Online Platform เช่น RoV (คลิกที่นี่เพื่อดู sample) เป็นต้น (หมายเหตุ: บทความนี้เขียนในช่วงเดือน มิถุนายน 2564 ซึ่งหลังจากนี้ ตัวอย่างนี้อาจจะล้าสมัยแล้วครับ) 
      • ​การยกตัวอย่างนั้น อาจจะใช้ตัวบริษัท หรือ เคสที่นักศึกษารู้จัก เช่น การสอนเรื่องธุรกิจค้าปลีก ในแต่ละพื้นที่จะมีเจ้าถื่น หรือย่านการค้า ที่มาจากยุคเดิม การยกตัวอย่างร้านค้าใหญ่ในท้องถิ่นที่จับต้องได้ อาจสร้างความเข้าใจพื้ยฐานได้มากกว่าการยกเคสใหญ่ ๆ ที่ไกลตัว เช่้น Tesco Lotus ที่มีสาขาในไทย กับ Walmart จาก USA, GDH กับ Warner Brothers เป็นต้น 
      • การยกตัวอย่างนั้น อาจจะใช้ 2 ตัวอย่างควบคู่กัน และให้นักศึกษาเชื่อมโยงสิ่งที่ร่วมกันจาก 2 ตัวอย่าง จะเป็นการฝึกวิธีคิดให้กับนักศึกษา และ ยกตัวอย่างมากกว่า 1 ตัวอย่าง โดยเลือกให้แตกต่างกัน เช่น ไทย vs เทศ, Local vs Nation, ง่าย ใกล้ตัว vs ยาก ไกลตัว จะทำให้นักศึกษาเขาสามารถเชื่อมโยงประสบการณ์ และทำให้เขากช้ายกตัวอย่างง่าย ๆ และมีส่วนร่วมมากขึ้นได้ด้วย
      • การใช้ Case Study Base ผสมกับ Simulation approach และ Problem Base ผสมผสานกัน โดยทั่วไปการใช้ Case Study เป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วที่เห็นผลลัพท์แล้ว การฝึกให้คิดแตกต่างออกไปเป็นวิธีที่ควรทดลอง ด้วยการตั้งวิธีการเรียนใหม่ว่า หากเปลี่ยนแปลง factors ที่มี impact กับผลลัพท์ที่เกิดขึ้น แล้วจะมีผลเป็นเช่นไร วิธีการนี้คือ การให้นักศึกษาทดลองเปลี่ยนตัวแปรจากอดีต เพื่อจำลองว่าจะเกิดผลลัพท์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร วิะีการนี้อาจจะไม่ได้ "คำตอบ" เพราะว่าไม่มีโอกาสทราบผลลัพท์ที่แท้จริง แต่สิ่งที่ได้คือ การฝึกกระบวนวิธีคิด และสร้าง Logical Thinking ให้กับนักศึกษา ตัวอย่าง เช่น หากไม่ใช้วิธีการทำการตลาดแบบป่าล้อมเมือง ของร้าน cafe ชื่อ Class จากโคราช แต่เปลี่ยนให้ Class Cafe ใช้วิธีการบุกตลาดจากหัวเมือง จะเกิดผลลัพท์อย่างไร เป็นต้น 
Picture
การเริ่มต้นการใช้ LBX เหมือนกับการเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ คือ เริ่มต้นจาก "วิธีคิด" หรือ "ทัศนคติ" ที่มีต่อเรื่องเดิม ในที่นี้ คือ ทัศนคติที่มีต่อการศึกษาที่เป็นภาพหลอกหลอนการศึกษาไทย เช่น 
  • ต้องการให้ผู้เรียนเป็นคนเก่งและดี  ความเก่งนั้นต้องเปิดใจยอมรับก่อนว่า มีหลากหลายมิติ ไม่ใช่ เก่ง = ฉลาด = รู้ด้านวิชาการแบบเดียว  ซึ่งทำให้เกิดมายาคติว่า จะต้องสร้างคนให้เก่งวิชาการจึงจะเป็นการศึกษาที่เกิดสัมฤทธิผล ระบบการศึกษา พ่อแม่ ครูอาจารย์ต้องเข้าใจว่า "เก่ง" นั้นมีหลายด้านและสร้างกระบวนการเรียนการสอน และ การวัดผลให้ความเก่งในทุกรูปแบบมีที่ยืนในระบบการศึกษา  ส่วนเรื่องการเป็นคนดีนั้น ดีเป็นพื้นฐานด้านศีลธรรม การเริ่มต้น mindset ของการศึกษาไทย อาจจะต้องปรับเปลี่ยน เช่น สร้างนักศึกษาให้สามารถเลี้ยงชีพได้ มีอาชีพทั้งในแบบ officer หรือในแบบ self-employment หรือในแบบ entrepreneur 
  • เราไม่ได้ผลิตนักเรียนนักศึกษาแบบโรงงานอุตสาหกรรม ที่ทุกคนต้อง "เหมือยกัน" เช่นนั้นแล้ว วิธีการต่าง ๆ ที่ตามมาหลังจากการเปลี่ยนทัศนคติ และเป้าหมายของการศึกษาจะทำให้เกิดรูปแบบ และวิธีใหม่ ซึ่งอาจจะต้องปรับเปลี่ยนกันไปในระหว่างการเรียนรู้ 
  • สถาบันการศึกษาในระดับมัธยมศึกษา คือ การสร้าง readiness ความพร้อม ที่จะไปเลือกเรียนในวิชาที่เยาวชนในช่วงอายุนั้นกำลังค้นหา และกำลังสะสมประสบการณ์มากขึ้น เราจะได้เลิกการเลือกทางเลือกที่มีจำกัด 3 ทางคือ สามัญ (วิทย์, ศิลป์) และอาชีวะ ในวัยที่เยาวชนไม่ได้พร้อม ในระดับอุดมศึกษา เราไม่ได้ผลิต "นักวิชาการ" และเราสร้าง "บุคลากร" ให้กับประเทศ ทำให้ชุดวิชาที่ "เกินเลย" และไม่จำเป็นจะได้ถูกตัดออกไป
  • หากจะต้องถูกระบบรั้งด้วยแนวคิดหน่วยกิตพื้นฐาน เช่นในปัจจุบัน จะได้เอาหน่วนกิตเหล่านั้นไปปรับเปลี่ยนหลักสูตรที่ใช้จริง และมีโอกาสให้นักศึกษามีประสบการณ์ในระหว่างที่เรียน 

สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างของการ "ทำลาย" กรอบความคิดเดิม ซึ่ง "อาจจะ" เคยเหมาะสมในอดีต แต่ไม่ใช่อีกแล้วสำหรับการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน  การจะเปลี่ยนแปลงได้ เริ่มต้นในทุกอณู ทว่า ไม่ต้องเริ่มต้นพร้อมกัน ครอบครัวใด ครูอาจารย์ใด คณะใด สถาบันการศึกษาใด เปลี่ยนแปลงได้ก่อน ให้เริ่มต้นได้ทันที เพราะว่าการเป็นแบบปัจจุบัน ไม่เพียงพออีกแล้ว และโลกที่แวดล้อมประเทศไทย เขาได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบวิธีการ  โดยเริ่มต้นจากการเปลี่ยน mindset ทางการศึกษาไปก่อนประเทศไทยแล้ว 

Picture
MonsoonSIM เป็น Business Simulation ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อเป็นเครื่องมือในการสร้างการเรียนรู้ด้วยประสบการณ์ (Experiential Learning, Learning by Doing) โดยเป็น learning and teaching platform ในการทำ Education Transformation ซึ่ง MonsoonSIM นั้นให้หลักการเรียนรู้ 2 ฐานหลัก ได้แก่ Simulation Base Learning (ประสบการณ์เพื่อรู้และเข้าใจ) และ Game Base Learning (Gamification: เรียนด้วยความสนุก ในเรื่องที่ไม่ใช่วิขาการโดยตรง)) และประกอบเข้ากับฐานการเรียนรู้อื่น ๆ เช่น Problem Base Learning ซึ่งเน้นปัญหาด้านธุรกิจ การเงิน การบริหารจัดการ Inventory การจัดการทีม การจัดการการผลิต ฯลฯ เป็นโจทย์ในการเรียนการสอน แบบ Dynamic เนื่องจากสถานการณ์จะเปลี่ยนไปจขากหลายปัจจัย เช่น ทึมนักศึกษาอื่นๆ ที่เป็นคู่แข่งใน MonsoonSIM มีทักศะและคตวามเข้าใจ "สร้างกระบวนการคิดและเปลี่ยนเป็นการลงมือทำ" ได้ดีกว่า "การจำเพื่อไปสอบ" และ "ขาดประสบการณ์ ขาดการเชื่อมโยงกิจกรรม กับ ข้อมูล และหลักวิชาต่าง ๆ" เข้าด้วยกัน 
Picture
การผสมผสานกันระหว่าง Simulation และ Gamification นั้น จะต้องถูกใช้ในสัดส่วนน้ำหนักที่แตกต่างกันให้เข้ากับปัจจัยต่าง ๆ เช่น เวลา, ระดับของประสบการณ์, เป้าหมายของการเรียนการสอน เช่น
  • ประสบการณ์ในครั้งแรกของวิธีการเรียนการสอนแนวใหม่ ให้ Gamification น้ำหนักมากกว่า Simulation เพื่อสร้าง Engagement ของผู้เรียนผ่านแนวคิดของ Game Base Learning เพื่อให้ "ความสนุก" และ "ความท้าทาย" สร้างบรรยากาศการในชั้นเรียน เปิดใจให้เกิดการแลกเปลียนความคิดในกลุ่มนักศึกษา และระหว่างนักศึกษากับอาจารย์ที่จะกลายสภาพเป็น Learner & Facilitator 
  • ให้น้ำหนักของ Simulation มากกว่า Gamification เมื่อสร้าง Engagement ในชั้นเรียน และสร้างบรรยากาศ และความสัมพันธ์แบบ Learner & Facilitator ในการเรียนรู้ได้แล้ว จึงเอาส่วนของ Simulation ไปเพื่อสร้างประสบการณ์ สร้างความสงสัยเพื่อใช้ Learning by Questioning approaching 
  • ให้น้ำหนักของ Simulation ใกล้เคียงกับ Gamification เพื่อกระตุ้นการเรียน + บรรยากาศไปพร้อม ๆ กัน 
  • ใช้การผสมผสาน Learning Bases อื่น ๆ ผสมลงไปใน "สัดส่วน" ที่เหมาะสม 
​ประสบการณ์การสร้าง LBX โดยใช้ MonsoonSIM Simulation (Short Case Study Version)
​การผสมผสาน LBX กับ MonsoonSIM นี้เป็นตัวอย่างที่ผู้เขียนทดลอง และนำประสบการณ์มาแบ่งปัน บนหลักการดังนี้ 
  • ให้นักศึกษาได้คิด และทำ โดยไม่ได้หวังผลเรื่องความถูกต้องเป็นหลัก แต่เน้นการสร้างความกล้าหาญในการลงมือคิด และทำก่อน 
  • ยอมรับในผลงานของนักศึกษา และนำเอาตัวอย่างมาเป็นการศึกษาร่วมกันในชั้นเรียนระหว่างกัน ในกรณีที่เกิดความผิดพลาดจะได้ใช้โอกาสดังกล่าวเป็นโอกาสในการแทรก เสริม แก้ไข ความเข้าใจ 
  • ไม่มีถูกและผิด ในการทำงานจริง ถูกและผิดมีแต่เฉพาะในการสอบ และการเรียนแบบโบราณ ในการทำงานจริง ชีวิตจริง มีเพียงถูกใจไม่ถูกใจ เหมาะสมหรือไม่เหมาะสม 

ตัวอย่างแรก: ใช้ MonsoonSIM สร้างประสบการณ์เสมือน และให้โอกาสในประสบกาณณ์ตรง(ประสบการณ์จริง) เพื่อเชื่อมโยง 2 โลกเข้าด้วยกัน กรณีทัศนศึกษา และมีประสบการณ์ในการคุยกับผู้ทำงานตรง (ต้นฉบับภาพจาก คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์)
นักศึกษาเหล่านี้มีประสบการณ์ในโลกเสมือน (MonsoonSIM) โดยในตัวอย่างนี้ คือ ประสบการณ์ในการบริหารจัดการการผลิต การจัดการ inventory (Raw Material/ Parts) และได้สร้างกิจกรรมในการทัศนศึกษาโรงงานผลิตรถยนต์ (ตามตัวอย่างคือ โรงงาน BMW) ซึ่งทำให้นักศึกษาเข้าใจมากขึ้น โดยได้เห็นสถานที่จริง ไลน์การผลิตจริง และได้มีโอกาสตั้งคำถามพูดคุยกับหัวหน้าส่วนงานต่าง ๆ จริง เพื่อทำให้การประสานประสบการณ์บนโลกเสมือนจาก MonsoonSIM เป็นรูปธรรม โดยมีอาจารย์ facilitator และเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญแบ่งกลุ่มกันไปกับนักศึกษา ในระหว่างการเดินชมสถานที่ เพื่อตอบคำถามนักศึกษา (ในไลน์การผลิตไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพ) ประสบการณ์นี้ต่อยอดประสบกาณณ์เสมือนของนักศึกษา ทำให้นักศึกษาเชื่อมโยงทฤษฎีต่าง ๆ ได้เข้าใจมากขึ้น 

ตัวอย่างที่สอง: 
ใช้ MonsoonSIM สร้างประสบการณ์เสมือน และให้โอกาสในประสบกาณณ์ตรง(ประสบการณ์จริง) เพื่อเชื่อมโยง 2 โลกเข้าด้วยกัน กรณีนำความรู้พื้นฐานเพื่อสร้างการวิเคราะห์ปัญหา และคลี่คลายปัญหา ใน SME Case Study (กรณีชินะซัพพลาย)
ในตัวอย่างนี้ นักศึกษาได้รับโจทย์ให้เสนอปัญหา และวิธีการแก้ไขปัญหาให้กับกิจการ SME โดยมีโอกาสได้ไปดูสถานจริง ได้คุยกับพนักงาน ได้สัมภาษณ์เจ้าของกิจการ และนำเอาข้อมูลต่าง ๆ ไปประมวลผล และกลับมานำเสนอแนวทางในการแก้ปัญหา ซึ่งได้เอาความรู้ในสาขาวิชาหลักของตน  มาผสมผสานกับประสบการณ์เสมือนใน MonsoonSIM  นักศึกษาได้ประโยชน์จากการถ่ายทอดประสบการณ์จริงจากเจ้าของกิจการ ความเห็นจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างในการสร้าง LBX กับ MonsoonSIM


ตัวอย่างที่สาม: ให้ MonsoonSIM สร้างประสบการณ์ และนำเอาประสบการณ์มาสังเคราะห์ทักษะด้านอื่น ๆ ​
นอกจาก Hard Skills แล้ว MonsoonSIM ได้เป็นโจทย์ ที่นักศึกษา "สังเคราะห์ความเข้าใจ" รวมกับ "ความรู้จากการเรียนในระบบ ความรู้ที่เกิดจากประสบการณ์"  เพมื่อมีความเข้าใจมากขึ้น การถ่ายทอดและการสื่อสารความรู้มีความจำเป็น เพื่อสร้าง "ทักษะ" ต่าง ๆ เช่น การนำเสนอ, การใช้ภาษาต่างประเทศ (จาก 2 ตัวอย่างแรก คือ การนำเสนอด้วยภาษาอังกฤษ ซึ่งจะต้องออกแบบโครงเรื่อง วิธีการนำเสนอ รูปแบบการใช้ข้อมูล ประกอบกัน) และทักษะอื่น ๆ เช่น การฟัง การพูดต่อหน้าชุมชน การใช้ข้อมูล ประกอบกัน (ในตัวอย่างที่สาม คือ การนำเอาปัญหาพื้นฐานในเกม และในธุรกิจจริง มาสื่อสารโต้ตอบ ผ่านการโต้วาที) การเสริมสร้างทักษะอื่นๆ ก็ถือเป็นการสร้าง LBX โดยใช้ MonsoonSIM เป็น story หลัก

จะเห็นได้ว่าการประสาน LBX สร้างประโยชน์ได้มากขึ้นกับการเปลี่ยนแปลงการเรียนการศึกษา ผ่านการผสมผสานหลาย ๆ วิธีเข้าด้วยกัน และได้ยกตัวอย่างในการใช้ MonsoonSIM ประกอบกับการผสมผสาน LBX เข้าด้วยกัน ซึ่งครูอาจารย์สามารถ "เริ่มต้น" การผสมผสานหลากหลายวิธีเข้าด้วยกัน และลดน้ำหนักของ Knowledge base กับรูปแบบสอน เป็น facilitate coach มากขึ้นได้ โดยมี MonsoonSIM หรือไม่มี MonsoonSIM ก็ได้
ปัญหาการยอมรับ Simulation Base Learning และ Game Base  Learning ในสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาของไทย
(แบ่งปันประสบการณ์ในฐานะของ facilitator และผู้ทำตลาด Simulation ในประเทศไทย)

ระดับทัศนคติ
  • ผู้บริหารด้านการศึกษา ครูและอาจารย์ส่วนมากของไทยอยู่แต่ "ในสายวิชาการ" ซึ่งคุ้นเคยแต่ Knowledge Base และคุ้นชินกับการวัดผลในการศึกษาแบบอดีต ทำให้การเปิดรับวิธีการแบบใหม่ ๆ ได้รับการต่อต้าน การยังเชื่อว่า เก่ง คือ เก่งด้านวิชาการเท่านั้น และทักษะที่จำเป็น อาจไม่ใช่หน้าที่ของสถาบันการศึกษาที่จะต้องสร้าง จึงไม่มีพื้นที่ทางหลักสูตรและเวลาให้กับการเปลี่ยนแปลง 
  • มีกฎเกณฑ์จากหน่วยงานเพียง 2-3 หน่วยงาน ที่ขาดวิสัยทัศน์ทางการศึกษา สร้างกฎเกณฑ์เพื่อควบคุม กำกับดูแล โดยใช้โลกทัศน์ที่เชื่อว่าทันสมัย โดยรับฟัง "ตลาด" หรือ "ผู้ใช้" นักเรียนนักศึกษาของไทยน้อยมาก ทำให้สถาบันการศึกษาและบุคลากรไม่กล้าเปลี่ยนแปลง เพราะพันธนาการเหล่านี้ 
  • ความเข้าใจผิดเรื่องของ Game กับ Gamification ทำให้ความเข้าใจเครื่องมือ หรือ Learning based อื่น ๆ เกิดขึ้นได้ยากในการศึกษาของไทย จึงมีคำถามจากผู้บริการว่า ทำไมต้องลงใน Game ซึ่ง จริง ๆ ควรเป็น Gamificarion หรือ Game based Learning 
  • สร้าง "วัตถุ" วัดผลง่าย ถ่ายรูปได้  มีชื่อของผู้ตัดสินใจสร้างเป็นอนุสรณ์เป็นเกียรติติดสถาบันไปยาวนาน จึงนิยมการสร้าง "วัตถุ สิ่งปลูกสร้าง" มากกว่าการ "สร้างกระบวนการคิดของเยาวชน" ที่วัดผลได้ยาก และไม่เป็นที่จดจำในสังคมนิยมวัตถุแบบไทย วัดผลระยะยาวเช่นการสร้างคน ผลงานจะพ้นสมัยของการดำรงตำแหน่ง สร้างวัตถุจากการซื้อได้ผลชัดเจน 
  • วัดความคุ้มค่าของการลงทุนด้วยคณิตศาสตร์ในลักษณะนักลงทุน ไม่ได้วัดผลจากผู้เรียน เป็นวิธีการที่พบบ่อยในผู้บริหารการศึกษาของไทย ทำให้สิ่งใหม่ๆ ที่จะเกิดประโยชน์กับนักศึกษากลายเป็นคำถามที่ว่า จะคุ้มค่าหรือเปล่า ซึ่งค่า
  • การปฎิรูปการศึกษา คือ การออกนโยบายล้ำ ๆ ประกาศแนวคิดในที่ประชุมด้านการศึกษา ให้ได้รับเสียงปรบมือ และเป็นข่าว เมื่อถ่ายภาพเสร็จ หรือมีการลงบทความแล้ว ถือว่า สิ้นสุดหน้าที่ของการปฏิรูปการศึกษา 
  • Simulation เป็นของแพง หรือต้องใช้เมื่อนักศึกษาพร้อมเท่านั้น เพื่อให้การวัดผลออกมาดีเสมอ จึงเป็นกำแพงให้เกิดการใช้ simulation ในสถาบันการศึกษา ตั้งแต่ มัธยม และปริญญาตรีมีข้อจำกัด ซึ่งในการลงทุนของการศึกษาไทย มีของแพงมากมาย ของแพง คือ ของที่ซื้อมาแล้วไม่ใช้ก็มีมาก หรือใช้แล้วไม่เกิดประโยชน์ต่อหน้าที่ความรับผิดชอบโดยตรงก็มีมาก  ค่าใช้จ่ายใน Simulation อาจคุ้้มค่ากว่า ค่าจ้างอาจารย์ที่ไม่เคยอยู่ในคณะเพราะรับงานนอกหมด หรือ เจ้าหน้าที่จำนวนมากมายที่ทำงานอย่างสองอย่างในคณะที่มีมากมายเหลือเกินและหาประสิทธิภาพในการทำงานไม่ได้ ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงค่าใช้จ่ายในการดูงานท่องเที่ยวที่นิยมกันในการศึกษาและภาครัฐและเอกชนของไทย เป็นต้น
  • ในครูอาจารย์ที่อายุมากหน่อย จะมีข้ออ้างเรื่องความไม่พร้อมด้านเทคโนโลยี ทำให้ไม่อยากเริ่มต้นอะไรที่ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง ภาระที่ผู้เฒ่าไม่อยากทำมักเป็นภาระที่ตกไปยังอาจารย์ผู้เยาว์เป็นสำคัญ และอาจารย์ผู้เยาว์มักไม่สามารถออกเสียง แสดงความคิดเห็น หรือมีส่วนเปลี่ยนแปลงนโยบาย หรือกระบวนการบางอย่างได้ และบ่อยครั้งในหลายสถาบันต้องตกเป็น "แพะ" จากวิธีคิดแบบนี้
  • ทุกคนอยู่ในส่วนความรับผิดชอบตัวเอง และไม่มีใครรับปผิดชอบในการ Integrated ชุดวิชาที่ควรร่วมกันเพื่อประโยชน์ที่มากขึ้น ทำให้ Silo Base Teaching สร้าง Silo System ในการทำงานของไทย แต่มีนโยบายบูรณาการความรู้ที่ไม่มีใคร "ร่วมบูรณาการ" กัน 
  • ฯลฯ

ระดับปฎิบัติงาน
  • มีภาระงานมากไม่พร้อมจะรับผิดชอบเพิ่ม  เป็นคำตอบจากอาจารย์ส่วนมากของไทย  (ซึ่งบางส่วนของงานมาจากเกณฑ์การวัดผลของหน่วยงานไม่กี่หน่วย ที่ไม่ make sense ในบางระดับการศึกษา) ที่พรากเวลาของครูอาจารย์ หากรับผิดชอบ เป็นตัวตั้งตัวตีในการเปลี่ยนแปลงใด ๆ จะต้องแบกรับหน้าที่นี้ไปตลอด เป็นภาระเสียเปล่า ๆ 
  • มีความไม่พร้อมจะรับวิชาที่ต้อง Integrated ความรู้หลากหลาย เพราะว่า เติบโต และเรียนมา ในแบบ Silo Base Learning และสอนให้ลึกล้ำจากวิธีการวิจัยครูอาจารย์ส่วนมากในบางสาขาวิชา ไม่เคยมีประสบการณ์ทำงานจริง ส่วนใหญ่มีประสบการณ์จากการอ่านงานวิจัย และการทำงานวิจัย ทำให้กลัวการใช้เครืองมือหรือวิชาใหม่ ที่ไม่อาจควบคุมนักศึกษาให้อยู่ในกรอบที่ตนสามารถบริหารจัดการได้
  • ฯลฯ

เรื่องอื่น ๆ เช่น 
  • การไม่มีแนวคิดของการ Pooling ทรัพยากร และใช้งานร่วมกัน ต้องหาเจ้าภาพ และเจ้าภาพต้องดูแลในด้านงบประมาณ แบบนี้เกิดบ่อยในสถาบันการศึกษาที่มันสอนเรื่องแนวคิดในด้านการบริหารจัดการ แต่ไม่สามารถทำได้จริงในเชิงปฏิบัติ 
  • การเมืองภายในองค์กร ซึ่งไม่มีอะไรสำคัญเท่า การเป็นคนของใคร หรือแนวคิดมาจากคนที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันกับขั้วอำนาจในสถาบันการศึกษาหรือไม่ 
  • ฯลฯ

ปัญหาเหล่านี้ คือปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อ "สิ่งใหม่" กลายเป็น "สิ่งแปลกปลอม" ต่อระบบวิธีคิด และธรรมเนียมการปฏิบัติของการศึกษาในไทย  ซึ่งสะท้อนความยากในการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในการศึกษา เพราะระบบ สร้างแนวคิดให้คน คนถูกระบบครอบงำ ผสมปนเปกันไป  การเปลี่ยนแปลงแบบองค์รวมจึงไม่เกิดขึ้นพร้อมกัน ซึ่งบทความนี้เพียงต้องการให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ในระดับ ชั้นเรียน หรือวิชาของครูอาจารย์ที่เห็นด้วยกับ Learning Base Mix (LBX) ให้เริ่มใช้ "เปลี่ยน" mindset และ วิธีการ วัดผล เรียนรู้ ปรับปรุงในขอบเขตของท่าน อย่าหวังให้ระบบเปลี่ยนท่าน แต่ท่านควรเริ่มเป็นส่วนหนึ่งของการ "ปฎิวัติ" วิธีการเรียนการสอนในประเทศไทย 

ขอเป็นกำลังใจให้ท่าน ผลักดันตัวเองให้เปลี่ยนแปลงเพื่อลูกหลาน และสังคมของเราต่อไป

พี่แว่นหน้าตาดี(นามปากกา; ที่สร้างจากความมะโนของผู้เขียน)

0 Comments

Decode RoV เพื่อใช้เรียนรู้เรื่องการบริหาร จัดการธุรกิจ .....

2/16/2021

0 Comments

 
decode_rov.pdf
File Size: 13863 kb
File Type: pdf
Download File

Picture
0 Comments

ถึงเวลาที่จะต้อง "XXX" ให้มีนามสกุล preneur ต่อท้ายสำหรับประเทศไทยที่มีอนาคตสดใส

1/28/2021

0 Comments

 
Picture
หมายเหตุ: ไม่ใช่บทความทางวิชาการ ไม่ได้ใช้ภาษเขียนอย่างถูกต้อง ปนภาษาพูดเพื่ออรรถรสในการอ่าน และ เหมาะสำหรับคนเปิดใจเท่านั้น
Entrepreneur มีความหมายอย่างแคบ และเป็นคำแปลใหม่จากต้นกำเนิดว่า "ผู้ประกอบการ" ส่วนความหมายอย่างกว้างและดั้งเดิม คือ "นักแแก้ปัญหา" "นักบริหารจัดการตามความประสงค์" ในความหมายของผู้เขียน คือ นักแก้ปัญหาบน "ทรัพยากรที่จำกัด" ให้ได้ตามเป้าประสงค์ ซึ่ง preneur ที่เป็น Suffix ในบทความนี้แปลอย่างหลังสุด


      ในยุคของ Covid-19 เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาช่วยทำให้ "ภาพ" ของการเปลี่ยนแปลงที่ "ประเทศไทย" และ "คนไทย" (และโลก) ต้องเจอในอนาคตนั้นเร็วขึ้น โควิดเสมือนเป็นยานอวกาศ USS Discovery ในซีรีย์และภาพยนต์ Sci-Fi Startrek (ซึ่งโดยส่วนตัวตอนนี้ดีที่สุด)  ที่ผ่านการบิดเบี้ยวของหลุมดำจากสสารแดง ซึ่งหมายถึงโควิดในขณะนี้ พา USS Discovery ไปในอนาคตไกลกว่า 900 ปี ในอนาคต  เท่ากับว่า Covid-19 ช่วยให้เรา "วาร์ป" ตัวเองไปเจอสถานการณ์ของอนาคตได้เร็วขึ้น สิ่งที่ลูกเรือทำ คือ "การพยายามปรับตัว" (Change, Transform, Evolve) ให้เข้ากับโลกอนาคต ที่เทคโนโลยีเปลี่ยนไป การใช้ชีวิตเปลี่ยนไป เหตุเพราะ "ข้อจำกัด" เกิดขึ้น ซึ่งในเรื่องคือ การเกิดขึ้นของวันวอดวาย ที่ทำให้เครื่องยนต์วาร์ปทั้งจักรวาลระเบิดจากปฏิกิริยาที่ไดลิเทียม ซึ่งคือพลังงานหลักในการเดินทางเร็วเหนือแสงนั้นทำไม่ได้ การระเบิดในวันวอดวายทำให้ เชื้อเพลิงไดลิเทียมซึ่งเป็นพลังงานถูกเผาผลาญไปจน แทบไม่เหลือ ทำให้การวาร์ปทำไม่ได้ในเรื่อง 
     แล้วมันเกี่ยวอะไรกับหัวข้อที่ ตอนแรกผมอยากใช้ชื่อหัวข้อว่า ถึงเวลาใส่ Suffix preneurs ในกมลสันดานเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในไทย  แต่ก็ตัดใจทำให้โลกมีสีพาสเทล เป็นชื่อหัวข้อปัจจุบัน คือ ถึงเวลาที่จะต้องมีนามสกุล preneur ต่อท้ายสำหรับประเทศไทย เพื่อให้บทความล้อไปกับ "วิธีคิดและค่านิยม" ของไทย หรือแปลว่า อยากได้อยากมี แต่รอคนอื่นมาทำให้ รอให้มันเกิดเอง 

     Preneur เป็น Suffix ที่เป็นคำมาจากภาษาฝรั่งเศส (กระมัง) แปลว่า "Taker" (หรือ Take as responsbler แปลโดยผู้เขียน) เราไม่ค่อยรู้จักคำนี้แบบโดด ๆ เราจะรู้จักกันในคำว่า "Entrepreneur(s)" หรือ นักประกอบการ (ประวัติของคำนี้ เชิญอ่านที่นี่) เมื่อคำสองคำมาสนธิกัน เกิดเป็นความหมายที่รู้จักกันดีในการมีทักษะแห่งการประกอบการ ซึ่งได้แก่ การเอาชนะอุปสรรคและปัญหา, การจัดการบริหารทรัพยากร เพื่อบรรลุเป้าหมาย, ความสามารถในการใช้ Integrated Skills และ Knowledge เป็นส่วนผสมที่่ลงตัวในการแก้ไขปัญหา, การใช้ Idea มาแปลงเป็น Asset เป็นต้น (ความหมายมีอีกร้อยกระบุงโกย) 
    โดยประสบการณ์ส่วนตัว พบว่า ทักษะที่มีคุณลักษณะ preneur ต่อ่ท้าย จนเรียกว่า "นามสกุล" เป็นสิ่งหายากในทุกวงการในประเทศไทย ยกเว้น Adaptive SME ของไทย ซึ่งมีจำนวนน้อยมาก แต่สร้างมูลค่ามากในกับเศรษฐกิจ สิ่งที่พูดไปก็เหมือน "ถากถาง" ประเทศตัวเอง คือ เราอยู่ใน Comfort Zone จนเรามีนามสกุลที่กลายเป็นนามสกุลพื้นถิ่น อาทิ "Let it be" "Wait and See" "Hope Well" "Others will do" "Not my respond" "Everything is mistake except myself" "Patient" "Not do only argue and critic" (ขออภัยที่ไม่สามารถ list ทั้งหมื่นตระกูลอันน่าเศร้าในที่นี้ได้) นามสกุลแบบนี้ ผสมข้ามพันธุ์กันไปมา จนเป็น DNA ของประเทศไทย และ คนไทย 

ภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจ กับภารกิจคลุมถุงชนจับแต่งกับ preneur ตบจูบแบบพิศาล อัครเสรณี
  • ในวงการภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจ เรามีวิสัยทัศน์อันงดงาม นักการเมือง "ขายฝัน" ตลอด แต่ไม่เคยทำได้ แต่ถ้ากลุ่มนี้จะทำอะไร จะเริ่มจากแนวคิดที่ไม่มี preneurs ต่อท้ายเลย เพราะว่า ดูราวกับมีทรัพยากรไม่จำกัด มีเวลาอันรื่นรมย์ไปเรื่อย ๆ มีความสำเร็จทางกระดาษและรายงาน เราได้ยินวลี เช้าฟาดผัดฟักเย็นฟากฟักผัด ไม่สิ!! ต้องเป็น "เช้าชามเย็นชาม" มาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย (จนหอยเท่าฝาตีน) ทุกวันนี้ เรามีพนักงานราชการ หรือ ข้าราชการ ที่ส่วนมากมีหน้าที่ไม่กี่อย่าง แต่มีจำนวนมากแทบจะเท่างานในกระบวนการที่ต้องทำ เขาเหล่านี้ทำเป็นอยู่สองสามอย่างในงาน เขาทำมากกว่านั้นไม่ได้ ให้เรียนเพิ่มอบรมทั่วประเทศ เสียงบประมาณมากมาย จนสร้าง Toll Way ไปดาวอังคารได้แล้ว เขาก็กลับมาทำเหมือนเดิม ทำเท่าเดิม ในทักษะที่ไม่พัฒนา แต่อายุงานเพิ่มขึ้น ความรับผิดชอบเพิ่มขึ้นนิดหน่อยพอให้ไม่น่าเกียจ แต่เงินตอบแทนเพิ่มขึ้นเป็นแบบอัลกอรึทึ่ม ความสำเร็จในงาน เป็น Linear โตน้อย ๆ แบบเป็นพิธี ผมเคยมีประสบการณ์ไปที่หน่วยงานราชการ เพื่อไปรับเช็คในงานที่ส่งมอบแล้ว แต่ไม่ได้รับหนังสือหัก ณ ที่จ่าย เพราะว่า เจ้าหน้าที่คนที่ทำได้ ไม่มาทำงาน และไม่มีใครอีกเลยในห้องนั้นกว่า 10 ชีวิต ที่ทำงานนี้ได้ ซึ่งการออกเอกสารภาษีหัก ณ ที่จ่าย ควรเป็นทักษะ ความรู้พื้นฐานของแผนกการเงินและบัญชีในความทึกทักเอาของผม แต่โชคดีเหลือเกินที่ ร้อยละ 5-7 ของลูกจ้างภาครัฐ ข้าราชการ และรัฐวิสาหกิจ มีการแต่งงานกับ preneurs ซึ่งเมื่อเขาเหล่านั้นแต่งงานกับ preneur แล้ว เขาเหล่านั้นจะเป็นกลายสภาพเป็นวรรณจัณฑาลในหน่วยงานกลายเป็นของแปลกทันที โดน Gossip เมื่อทำงานเต็มความสามารถ  ถึงแม้นว่าราชการรัฐวิสาหกิจจะแทบไม่ปรับตัวเลย นั่นก็เพราะงานส่วนที่ยังดำเนินการได้ อาศัยกฎหมาย กฎเกณฑ์ มา "บังคับ" มีความก้าวหน้า จากการวัดผลแบบที่ไม่มีใครใครโลกรับได้ มาเป็นแรงผลักดัน และเกิดจากดทคโนโลยีที่ outsource เข้าไป ในราคามูลค่ามากกว่าราคาตลาดหลายร้อยเท่า
  • Governpreneur, State Enterprise-preneur  คือ นามสกุลที่ควรตบแต่ง ผ่านการคลุมถุงชน หรือใช้ตบจูบแบบพิศาลอัครเสรณี  ผมเสนอวิะีนี้เลย เพราะว่าการสมัครใจเปลี่ยนแปลงในองค์กรภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจจะใช้การไม่ได้กับวัฒนธรรมองค์กร และค่านิยมในสังคมการทำงาน ที่หยั่งรากลึกจนเป็นโควิด-19 ในสหรัฐอเมริกา (เกินเยียวยาในวันที่เขียนบทความนี้) 
    • การจับคลุมถุงชน คือ ขืนใจให้แต่ง และได้เสียเป็น preneur เป็นวิธีการที่ดีวิธีแรก เพราะว่า การคลุมถุงชนนั้น อยู่ ๆ ไปก็จะรักกันเองแบบในนิยาย (กระมัง) ซึ่งหากเจ้าบ่าวเจ้าสาวไม่เต็มใจ ก็ให้หนีออกไปจากระบบไป ไปตามหากรักแท้ที่อื่น ซึ่งอาจจะดีกับครอบครัวที่จะไม่ต้องอยู่เพราะว่าไม่รักกันก็ได้  วิธีการนี้เป็นวิธีการที่เคยถูกใช้ในประวัติศาสตร์และใช้ได้ดีกับการเปลี่ยนแปลงแนวอนุรักษ์นิยม ตัวอย่างเช่น การจับไล่สอบเปรียญธรรมในรัชกาลที่ 4 เพื่อจุดประสงค์ในการจัดระเบียบพระศาสนาในอดีต เป็นต้น (อีกตัวอย่างเป็นตัวอย่างที่เกิดในเกาหลี จะเล่าให้ฟังในหัวข้อต่อไป)
    • ใช้ตบจูบโซลูชั่น ในระดับซาดิสม์เหมือนละครจำเลยรัก ตอนที่พระเอกจับนางเอกไปทรมาน  คือ ให้งานที่ทำ และมี "เกณฑ์วัดผล" ที่เอื้อให้เกิด "การเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยยะสำคัญตามเป้าหมาย" แลพะ "มองลงไปที่กระบวนการในการทำให้เกิดสัมฤทธิผล" (ที่กลุ่มนี้ทำไม่ได้หรอก) ในกรณีที่ถ้าไม่ได้ในสิ่งที่คาดหวัง ก็ตบ เอาแส้เฟาดเทียนรน เอ้ย หมายถึง "ให้มีผลต่อการอาชีพ และการงาน" (เรียกว่า ทำลาย Comfort Zone ที่กัดกินประเทศนี้จากการไม่มีประสิทธิภาพ)  ในกรณีที่งานประสบผล (จริง มากกว่าประสบผลสำเร็จบนกระดาษมากกว่าที่ทำกันจนชิน) เป็นไปตามเป้าหมายภายใต้เวลาที่กำหนด และใช้ "ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าไม่ฟุ่มเฟือย และไม่ฉ้อโกง" ก็ควรให้ "รางวัล" (ปัจจุบันรางวัลไม่ทำอะไรก็ได้มา หรือได้มาจากเกณฑ์วัดผลที่ตั้งแบบไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ) เป็นจูบเหมือนในตอนท้ายที่พระเอกรักสรญาจนหัวปักหัวปำ  แผนและ execution plan ที่ได้ให้ใช้วิธีการวัดผล ลดกระบวนการทางธุรกิจ ทำขั้นตอนให้ LEAN "แบบภาคเอกชน" เพื่อกระชับปรับเปลี่ยนระเบียบวิธีปฏิบัติราชการที่ล้าสมัยเสีย 
    • สำหรับสายโลกสวยที่บอกว่า การเปลี่ยนแปลงที่ต้องเกิดเป็นผลทางบวก ควรมาจากความสมัครใจ แนะนำให้กลับไปในโลกนิยาย เพราะว่าที่นั่นเป็นทุ่งลาเวนเดอร์ที่คุณใฝ่หา เพราะว่า การไม่บังคับใรนกลุ่มนี้ จะไม่เกิดผลใด ๆ 

ภาคการศึกษา กับการทุบหัวแล้วลากเข้าถ้ำ เพื่อให้สมยอมเป็น preneur แล้วรอความหวังในนักการศึกษารุ่นต่อไป
  • ในภาคการศึกษาน่ารันทดใจ เหมือนเอาฉากเดิม ที่ตัวร้ายแกล้งทำดีเพื่อเอาใจพระเอก วนซ้ำจนเราเดาทิศทางได้ว่าละครไทยจะเป็นอย่างไรมาตลอด 40 ปี (เท่าที่ผมนับจากอายุตัวเอง) การศึกษามีหลายระดับ ในระดับนโยบายเปลี่ยนแปลง "หัว" และ "นโยบาย" ตามใจพรรคการเมือง เพราะว่าเป้นกระทรวงที่มีงบประมาณมากที่สุดในประเทศไทย นั่นเป็นระดับนโยบาย หนึ่งในมายาคติ คือ "เก่งและดี" ในยุคที่ "ปากกัดตีนถีบบนโลก Disruptive" และมีที่ปรึกษาเป็น "นักวิชาการ" ที่เชื่อว่า ต้องปั้นนักวิชาการในการศึกษาไทย โดยลืมไปว่า เยาวชนมีความหลากหลาย เรายังไม่เห็นนโยบายที่ยอมรับความหลากหลาย และมีวิธีการวัดผลที่แตกต่างกันไป "การศึกษาของเรายังเป็นโรงงานผลิตของโหล" มีบ้างที่เริ่มเปลี่ยนแปลง แต่เปลี่ยนจริงจัง แบบ คุณไม่หลอกดาวนั้นยังหาไม่ได้ ​
    • ​นโยบายด้านการศึกษาเกิดจาก "ด๊อก"เตอร์ มากมายมารวมตัวกัน ตัดสินเลือกคุณลักษณะที่พวกเขาต้องการ สร้างความชอบธรรม โดยเอาตำแหน่งและผลงานทางวิชาเกิน(การ) มาวัดกัน เขาจะบอกว่า เยาวชนต้องเป็นคนดีมีศีลธรรม แต่ด๊อกเตอร์ผู้มีอำนาจบริหารล้วนกลายพันธ์เป็นนักการเมืองในวงการศึกษา ตีกินในวงการบริหารการศึกษาของแต่ละสถาบัน ที่โลกมายาบอกว่าเล่นการเมืองรุนแรงกว่าในสนามเลือกตั้งเสียอีกมันย้อยแย้ง เพราะว่า EGO มาพร้อมกับ คำนำหน้า และคนที่เห็นด้วยกับฉัน คือ คนที่
    • ในระดับมหาวิทยาลัย เป้าหมายที่เลี่ยงบาลีจาก "เก่งและดี" ถูกเปลี่ยนเป็น "จะผลิตบัณฑิตที่มีคุณภ่าพ" มันมีความน่าสนใจ เพราะว่ามีเพียงไม่กี่คณะ หรือวิทยาลัยที่เวลาดู "วิสัยทัศน์" กับ "พันธกิจ" กับ วิธีการที่เปลี่ยน Raw Material เป็น Goods นั้น ไม่สอดคล้องกัน ภาพลักษณ์ในวิสัยทัศน์มีไว้อวดอ้าง พันธกิจมีไว้เขียนของบประมาณ ส่วน Actual Action นั้น ขึ้นอยู่กับอาจารย์ที่มี "จิตใจ" "Passion" "ความรับผิดชอบในหน้าที่หลักในฐานะครู" ซึ่งของแบบนี้ในแต่ละบุคคลากรมีไม่เท่ากัน ซึ่งส่วนมากทำเพียงพอผ่าน means ในการประเมิน
    • ในสถาบันการศึกษานับเฉพาะ Higher Education ที่มีมาตรฐานวิชาการมากมาย มีกูรู้มากมาย จนหากคุณหยิบถั้วเขียวมาหนึ่งกำแล้วปากไป ถั่วเขียวเกือบทุกเม็ดจะต้องโดน ตำแหน่งทางวิชาการ ดีกรีทางการศึกษา ทั้งสิ้น บางสถาบันมีทุกศาสตร์ แม้กระทั่งศาสตร์ที่ไม่ควรจะมี หรือเชี่ยวชาญ ทุกสถาบันควรมีการจัดการยอดเยี่ยมเป็นตัวอย่างทางอุดมคติเพื่อให้เป็นเสาแห่งปัญญาของสังคม ทว่า ทุกสถาบันอุดมศึกษาศึกษาของไทยสอบตกด้านการจัดการทุกที่ แล้ว "สรรพวิชาเหล่านั้นที่ควรเป็นสุดยอดในการจัดการต่าง ๆ" พบว่า "โทษฟ้า โทษลม โทษคน โทษระบบ" เป็นคำอธิบายเสมอ การจัดการในหน่วยงานภายในเละเทะไม่เป็นท่า 
    • สถาบันการศึกษาอุดมศึกษาแทบทั้งหมด พบว่าไม่สามารถจัดการกลไกในการให้บริการแก่ "ลูกค้า" ได้ เพราะว่าไม่เคยฟังลูกต้าเลย เพระาว่าการศึกษาไทย ครูอาจารย์เป็นใหญ่ ไม่เคยเป็น Mentor, Facilitator  สถาบันการศึกษาไม่ทำอะไรที่สอดคล้องกับความต้องการของ "ตลาด" เพราะว่า ผลิตของที่ตนเองอยากทำ หรือเชียวชาญ ตลาดไม่มีทางเลือกอื่น (มีบ้างที่ตลาดบางทีจึงเปลี่ยนเป็นผู้ผลิตเสียงเอง บางทีพยายาม OEM ร่วมกัน ซึ่งโครงการเหล่านี้ Fail)  สถาบันการศึกษาอุดมศึกษาในไทยโดยภาพรวมผลิตคนที่ ไม่สามารถเปลี่ยนความรู้เป็น Action ออกมา แถมด้วยทักษะลูบหน้าปะจมูก ทักษะที่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ แต่เกรดงดงาม ฯลฯ เป็นภาระขององค์กรเอกชนและรัฐที่ต้อง "อบรม" กันใหม่ และเสียเวลาเฉลี่ย 4 ปีในชีวิตคนคนหนึ่ง เสียเม็ดเงินมหาศาล  สิ่งที่เขาทำ คือ มาตรฐานทางวิชาเกินที่สูงขึ้น โดยเน้นการพัฒนาบุคคลากร แล้ว "ไหว้เจ้า" (ฝากความหวังไว้) ขอให้บุคลากรเหล่านั้นมา "โปรดสัตว์"  ด้วยการนำเอา เวลาและทรัพยากรที่ทุ่มไปในงานวิจัยเหล่านั้น กลับมา "IMPLEMENT ใน ชั้นเรียน" (บ้างก็ยังดี) การพัฒนาคนมีเป้าหมายที่สวยหรู แต่หาก Emphatize แล้ว  Vision โดยสุจริตของสถาบัน กับ Side-Vision คือ จำนวนของงานวิจัยมีบทความทางวิชาการตีพิมพ์เท่ห์ ๆ อย่างน้อย 1-2 งานต่อปี เหมาจำนวนเป็นเข่งรวมกันกับ และ จำนวนตำแหน่งทางวิชาการ  เพื่อเข้าเกณฑ์และได้ STANDARD มา Side-Vision อาจมีอิทธิพลมากกว่า Vision ที่ประกาศไว้ คือการพัฒนาคน เพื่อให้คนพัฒนาสังคมและประเทศ  ทว่า Standard เหล่านั้น มีอานิสงค์น้อยมากที่วนกลับมาสู่เยาวชน ในความเป็นจริง เยาวชนที่เก่ง คือ เยาวชนที่ดิ้นรนศึกษาด้วยตัวเองส่วนใหญ่ มิได้เกิดจาก "ห้องสี่เหลี่ยมของคนหัวสี่เหลี่ยม" ในหลายปีที่ผ่านมาเรามีสถาบันการศึกษาดาหน้ากันออกมา Transform ด้วย Propaganda ใหม่ ไส้ในเดิม ๆ หลักสูตรฉูดฉาดเต็มไปด้วย Buzz Word แค่ว่า อาจารย์ใช้สไดลฺ์เปลี่ยน Font ใหม่ เนื้อหาเดิม เพิ่มเติมไม่ให้ตกเทรน สอนแบบเดิม วิธีวัดผลเดิม ๆ ทั้งหมดรวมตัวกันในเครือสถาบันการศึกษา ชื่อ "คุณหลอกดาว"
    • Educatorpreneur คือ สิ่งที่ต้องทุบหัวลากเข้าถ้ำ จับผสมพันธ์ุแต่งงานโดยพฤตินัยกับ preneur  ยิ่งนานไวรัสยิ่งทำร้ายปอดและระบบหายใจทั้งหมด ใช้การทุบหัวลากเข้าปล้ำเป็นวัคซีนแก้โรคร้ายกัน เป็นภารกิจที่ต้องทำ รอผู้มีอำนาจตัดสินใจ เพื่อสร้าง specie ย่อยต่าง ๆ
      • ​Teacherpreneur, Lecturerpreneur อาจารย์ที่สร้างสรรค์มองประโยชน์ของนักศึกษา สรรหาวิธี กลยุทธ์ กระบวนการในการสร้างคนให้ประเทศ ไม่ใช่ คนที่แปล text มาสอน หรือ จำอาจารย์ของอาจารย์ ที่จำอาจารย์ของอาจารย์มาสอนอีกที  เป็น Stage แรกในการ Trandform การศึกษาในไทย บุคคลากรสายสอนมีภาระงานวิจัย ถ้าไม่ทำวิจัยก็จะไม่มีโอกาสได้สอน เพราะว่า "ต้นสังกัด" วัดผลให้ค่านำหนักมากกับงานวิจัย ซึ่งไม่ใช่่หน้าที่หลักใช่หรือเปล่า ความเชื่อที่ว่าอาจารย์ที่ทำวิจัย จะสอนหนังสือได้ดีขึ้น วัดผลอย่างไร วัดผลจากอะไร วัดผลเป็นไปตามเป้าประสงค์ของการเป็น "สถาบันให้การศึกษา" หรือ เป็นที่รวมกันของนักพัฒนาตนเอง เพื่อไปหากินข้างนอก "สถาบันให้่การศึกษา" 
      • Facitatorpreneur ในการ Transform ศึกษา ตัวบุคคลากรสำคัญระดับ Playmaker, Change Agent นั้น ต้องเป็น Teacherpreneur, Lecturerpreneur ในระยะแรก และเปลี่ยนสแปลงตัวเองเป็น Facitatorpreneur คือ ผู้มอบ ผู้กรุยทาง เพื่อสร้างความรู้และประสบการณ์ โดยเลือกมอบอาวุธทางปัญญา และฝึกสอนให้ใช้อาวุธเป็น ไม่สอนเฉพาะในเรื่องที่ตัวเองชอบ หรือคลั่งไคล้ลุ่มหลง ตรงจริต โดยเฉพาะสายสังคมศาสตร์ที่มีผลกระทบต่อสังคม ผมยกตัวอย่างเสมอเวลาที่ได้รับเชิญไปพูดในเรื่อง Education Transformation ในการเป็น Facilitator นั้น คือ เจ้าพนักงานส่งอาวุธ ที่เมื่อพระมหากษัตริย์หรือเจ้านายในอดีตออกศึก พนักงานท่านนี้มีหน้าที่ดูลักษณะของเกมศึก ว่าข้าศึกเข้ามาในลักษระใด ระยะห่าง และยุทธวิธี เพื่อส่งอาวุธที่มีหลากหลายชนิดที่พร้อมบนสัปคับชนหลังช้าง ซึ่งแน่นอนว่า แต่ละชนิดมีของสำรองไว้เสมอ นั่นหมายถึง เมื่อใดจะต้องใช้ ชุดอาวุธทางปัญญาใดในการแก้ปัญหา ซึ่งเป็นบทบาทของ Facilitatorpreneur ที่เยาวชนจะเลือกอาวุธที่เหมาะสมในสงครามของชีวิต 
      • Resercherpreneur ในแวดวงธุรกิจ RnD เป็นแกนหลักของการก้าวกระโดดของภาคเอกชน สาาหตุที่ก้าวกระโดดเพราะว่า งานวิจัยเหล่านั้น Commercialize (สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ) และ Socialize (สร้างคุณค่าให้สังคม) อย่างใดอย่างหนึ่งหรือประสานประโยชน์รวมกัน  ทว่างานวิจัยในภาคการศึกษา และรวมถึงในภาครัฐ ซึ่งใช้งบประมาณเท่าไหร่ ผมไม่มีตัวเลข ทว่า มีจำนวนน้อยมากที่สามารถ Commericialize และ Socialize ได้จริง เพราะว่างานวิจัยในภาคการศึกษา คือ จำนวนที่ต้องทำตามระเบียบเพื่อประโยชน์ซึ่งไม่ตรงปก ประโยชน์ในการวิจัย เพื่อการพัฒนาองค์ความรู้ และสร้างนวตกรรมใหม่ ๆ ทว่าผู้วิจัยสในภาคการศึกษาจบบทบาทตรงที่วิจัยเมื่อผ่านเกณฑ์ตามจำนวน และตีพิมพ์ในวารสารที่มีเกรดให้เลือกมากมาย และ "สิ้นสุด" ทางของงานวิจัยนั้น เพื่อ "ขึ้นหิ้ง" และไม่นำมาใช้ ทำไมภาคการศึกษาไทยต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก ให้กลับไปอ่านเนื้อหาด้านบนอีกรอบได้ครับ
      • Specialize Young Entrepreneurs เป็นผลผลิตของภาคการศึกษาที่จะเปลี่ยนแปลงไทย โดยประสบการณ์ส่วนตัวในภาคการศึกษา ที่พบพานคณบดี อาจารย์หัวหน้าสาขาวิชา ผู้อำนวยการโครงการ จากการพูดคุยมาบ้าง ซึ่งบางครั้งก็ตกใจว่า ท่านเหล่านีอาจะจับสลากได้ตำแหน่งมา  เช่น มีความเข้าใจที่ว่า Entrepreneurs คือ หน้าที่ของคณะสายบริหารธุรกิจ บางมหาวิทยาลัยแยกวิทยาลัยการประกอบออกจาคณะบริหารธุรกิจอีกที เป็นต้น ทั้ง ๆ ที่ Entrepreeurial Skills ควรเป็น ทักษะพื้นฐานที่สถาบันการศึกษาทุกศาสตร์ต้องพยายามสร้าง Entrepreneurial Mindset คือจิตลักษณะที่ควรจะปลูกผัง แล้วให้เด็กที่พร้อมเป็น Entrepreneur เป็น Entrepreneurs และสายที่เป็น Officer เป็น Intrepreneurs ขององค์กรที่จะไปทำงาน  ผู้เขียนนิยมให้ ใช้ "ความรู้เฉพาะทางของแต่ละสาขา" ผสมรวมกับ "preneur" ให้เป็น Puupy Love ตั้งแต่วัยเยาว์ และเมื่อจบเขาจะมีนามสกุล preneur ห้อยท้ายวิชาเฉพาะ และสร้างประโยชน์ที่แตกต่าง มากกว่าเดิม เช่น เราจะมี Veteropreneur, Engineerpreneur, Sociopreneur, Politicalopreneur, Dentisopreneur etc  อีกมากมาย ที่สร้างสรรค์วิธีการทำงานใหม่ มีพื้นฐานการแก้ปัญหา มีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของสังคมที่มี action ที่ valid วัดผลได้ 
      • วิธีการทุบหัวลากเข้าปล้ำ (ถ้า) คือ วิธีที่ ประเทศที่มีประวัติศาสตร์แห่งความยากจนเหมือนไทย แต่วันนี้เขียนประวัติศาสตร์ใหม่เป็นประเทศแห่งความร่ำรวยแล้ว (เรื่องนี้ไปอ่าน EP9 EP10 EP11 ในซี่รี่ย์แชร์ประสบการณ์ได้ครับ) เช่น เกาหลีใต้นั้น เขอเจอปัญหานี้เมื่อ 25-30 ปีก่อน เขาใช้วิธี "ทุบหัว" ด้วยการให้ ครูอาจารย์ทั้งประเทศที่ไม่มี skills หรือ ความรู้ ที่เหมาะกับการพัฒนาประเทศ อยู่ในวิชาที่ไม่สนับสนุนการเติบโต "ลากเข้าถ้ำให้ปล้ำกับเรื่องใหม่" ด้วยการทำโครงการ National Reskills & Upskills ครูอาจารย์ทั้งหมด ผลที่ได้ไม่พูดเยอะนะเจ็บคอ คือ ครูอาจารย์ที่ผ่านการ Reskills และ Upskills นั้น มีความพร้อม และไม่ได้สูญเสียอาชีพ ประเทศได้ประโยชน์ตามที่ท่านเห็น ส่วนกลุ่มที่ไม่พร้อมเลย ก็ได้บอกลาจากอาชีพและความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงนี้  
      • เหตุใดจึงแนะนำวิธีนี้กับการศึกษาไทย เพราะว่า ภาคการศึกษาไทยอยู่ใน Red Zone หากท่านไปอ่าน EP9 EP10 EP11 ท่านจะเห็นว่า "จุดร่วม" ในประวัติศาสตร์ สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรมคล้ายกันระหว่างไทยกับเกาหลี ทว่า กล้าหาญพอหรือเปล่าที่จะลงมือ บางทีสังคมไทยต้องเจ็บปวดบ้างเพื่อเติบโต
      • การสร้าง Entrepreneurial ในสถาบันการศึกษาหลายแห่งในต่างประเทศนั้นจริงจัง  กว่าการแข่งขัน startup ของไทย ที่แข่งจบแล้วจบกัน ราวกับทุกฝ่ายต่างแยกย้ายหมือนดูภาพยนต์จบหนึ่งเรื่องและโรงถูกเปิดไฟ บรรยากาศร่วม เช่น เคยหัวเราะ รู้สึกดราม่า ไปด้วยกันของคนในโรงพภาพยนต์ขณะชมภาพยนต์ฉายหมดไปทันใด
        • ทุกคณะและวิทยาลัยอยู่ภายใต้ Entrepreneurial Skills อ่านไม่ผิดนะครับ ทุกคณะและสาขาวิชา นักศึกษาจะเรียนในสาขาวิชาใด ๆ ซึ่งถือเป็น Hard Skills (Knowledge) หลัก เขาจะได้รับการฟูมฟักเอา Entrepreneurial Skills และเพื่อน ๆ ของทักษะที่เกี่ยวข้อง คณะและสาขาวิชาจะส่งเสริมอย่างจริงจัง สร้าง Eco-systems ต่าง ๆ เพื่อที่นักศึกษาของเขา จะได้รับโอกาส และประสบการณ์ โดยมีอัตราของการเกิดขึ้นของ Entrepreneurs จริง ในรูปแบบของนิติบุคคลในรั้วมหาวิทยาลัยในปีท้าย ๆ ซึ่งเปอร์เซ็นต์ของความสำเร็จในรุ่นแรกมีน้อยมาก คือ น้อยกว่า 1% ของจำนวนนักศึกษา ทว่าอัตราความสำเร็จเพิ่มขึ้นทุกปี พร้อมกับกระบวนการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของการเรียนการสอนภายในมหาวิทยาลัยด้วย เขายอมรับอัตราของความสำเร็จ เรียนรู้และปรับตัว โดยยืนบนหลักความจริง ถ้าเป็นมหาวิทยาลัยของไทย จะรีบหมกเม็ดโครงการนี้ หรือ ตกแต่งตัวเลขความสำเร็จให้เว่อร์วัง 
        • ในประเทศเกาหลี มหาวิทยาลัย โรงเรียน เพิ่ม แทรกสอด หลักสูตรของ Entrepreneurs รวมเข้ากับการให้ความร่วมมือของภาครัฐ และเอกชน ต่อเนื่องกันเป็นระบบ เมื่ออยู่ในมหาวิทยาลัย เหล่า Startup และ Young-Entrepreneurs เหล่านี้ ได้รับการดูแล มีพี่เลี้ยงจริงๆ มีกลุ่มทุนรอสนับสนุนจริง ๆ ที่พร้อมจะให้โอกาสและไปดูแลให้เติบโตแข็งแรง โดยมีการวิจัยหลักสูตร Entrepreneurs และใช้งานจริง เช่นโครงการของ Dongkuk University ที่ผู้เขียนไปพบเห็นมาจากการไปดูงานและไปศึกษาเรื่อง Startup เพิ่มเติม และมีโครงการอย่าง K-ICT Born to Global ที่ชัดเจนในแนวทางของการสร้างคน หรือยังมี Agency ที่เกิดจากการรวมพลังของทุกฝ่ายอย่าง TIPS KOREA ท่านไปอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในเอกสาร EP9 10 และ 11 ใน K-Experience Series เพิ่มเติมได้
      • ประเทศไทยไม่มีการรวมตัวอย่างเป็นระบบ เพราะว่า เราไม่บูรณาการอะไร ทุกฝ่ายมีธงของตัวเอง มีตัวเลขที่ต้องปั้น กระจายทรัพยากรที่ควรฝนึกกำลังกันออกไป ภาครัฐก็เปลี่ยนนโยบายเหมือนกระดาษชำระเมื่อเปลี่ยนรัฐบาล หน่วยงานของรัฐที่ทำเรื่องเดียวกัน แต่ไม่เชื่อมโยง เพราะว่า การมีหน่วยงานมาก หมายถึงงบประมาณที่รั่วไหลได้ง่ายกว่าในโครงการที่วัดความสำเร็จบนรายงานตัวเลขมะโน เราจึงยังไม่มีไซโกตของม้านิลมังกรสายพันธุ์พื้นเมืองไทยล้วนเลยในโลกจริง ที่มีแล้วยกยอปอปั้นว่าเป็นยูนิคอร์น นั้นเป็นม้าพันธุ์นอกผสมพันธุ์ไทย ไม่มีพันธุ์พื้นเมืองล้วน ๆ แบบที่ ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนมี เพราะว่าวิธีของเราลูบหน้าปะจมูกทั้งกระบวนการ
​
ภาคธุรกิจกับยุทธวิธีร้อยแปดตั้งแต่ภารกิจแม่สื่อถึง Blind date จนกว่าจะได้เสียเกี่ยวดองกับ preneur
  • ​(บางส่วนของ) ธุรกิจขนาดใหญ่ อยู่รอด มีทรัพยากรต่าง ๆ ที่จำเป็นมากมาย สะสมและเพิ่ม Knowledge Know-how ให้กับพนักงาน ผู้บริหารมี Know-Why ชัดเจน  ปัญหาคือ การเพิ่มขนาดของอาณาจักรทางธุรกิจออกไปในกระแสธารของ Economy Disruptive  ทำให้ยักษ์ใหญ่ต้องเปลี่ยนตัวเองมากกว่าเดิม ด้วความพยายามแตกไปโตในตลาดใหม่ ๆ โอกาสใหม่ ๆ โดยใช้ทรัพยากรที่มีมากคุือ ทุนที่เป็นเม็ดเงินไปต่อยอด ทว่าองค์กรยักษ์ใหญ่เหล่านี้ ที่ระบบ และการทำซ้ำในกระบวนการเสถียรจาก Merket Share ที่มีมากมาย ทำให้ DNA ขององค์กรใหญ่ฝังลงไปในระดับโครโมโซม เปลี่ยนแปลงได้ยาก 
  • (ส่วนมากของ) ธุรกิจขนาดกลาง ค่อนไปใหญ่ พยายามสร้าง DNA ใหม่ของตัวเอง ด้วยความพยายามเอาโครโมโซมของตัวเอง ปะด้วยโครโมโซมจากองค์กรใหญ่ Cut Paste กันไปมา ทว่าไม่ได้เก็บยีนเด่น Dominent Gene มา แต่เอา Recessive Gene แฝงมาด้วย เป็นตัวอ่อนที่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ คือ มีดนวนโยบายแบบ Large Enterprise บางทีไม่มี Knowledge ที่จำเป็น และส่วนมากมีความ sensitive ในการลงทุนเพื่อการเปลี่ยนแปลง เป็นสายพันธ์ที่เป็นหมันเพราะโครงการพับไปเมื่อจบระยะแรกเกือบทั้งหมด​
    • ​Intrapreneur คือ ความพยายามสร้างให้บุคลากรในระบบ มีแนวทักษะแห่งการประกอบการ เปลี่ยนจากลูกจ้างเป็น ลูกจ้างมืออาชีพ และจะต้องเปลี่ยนเป็น นักประกอบการขององค์กร  ซึ่งการพยายามพัฒนา Mid Level Management ในรอบ 10 ปีที่่ผ่านมา โดยมากไม่ประสบผลสำเร็จตามเป้า เพราว่า DNA ขององค์กร ยังไม่มีโอกาส Mutant หรือกลายพันธุ์ ส่วน High Level Management บริษัทขนาดใหญ่บางส่วนเปลี่ยนจากยุคที่รุ่งเรื่อง เป็นโครงสร้างกึ่งรัฐในหน้ากากเอกชน แนวความคิดของการได้รับผลประโยชน์มากกว่าการส้รางประโยชน์ หรือสิทธิ์ที่พึงได้รับในตำแหน่งบริหารที่สูงขึ้น เป็นยีนส์ที่เกิดการกลายพันธุ์ที่ไม่พึงประสงค์  การสร้างนักประกอบการภายใน หรือที่ต้องการให้ มีส่วนรวมเสมือนเป็นเจ้าของ หุ้นส่วนของบริษัท ถูกธรรมเนียมให้ทำเนียนแบบไทย สิ่งหนึ่งที่น่ตกในคือ ระบบต่าง ๆ ถูกสร้างให้เสถียรมากจนยากจะเปลี่ยนแปลง การมี mamagement level เยอะ ทำให้การตัดสินใจกลับล่าช้า และขัดผลประโยชน์ไปมาระหว่างทีมด้วยกันเอง วิธีแบบนี้สะท้อนราวกับ ผู้บริหารพยายามเป็นแม่สื่อให้แต่งงานกับคนไม่รู้จัก และที่สำคัญคือ ไม่ click กัน
    • Transformer-prenuers หรือ Chage Agent เป็นสิ่งที่องค์กรกำลังหา ทว่า เจอปัญหา Conflict of Mindset ของโลกเดิม โลกเก่า โลกทัศน์ใหม่ และโลกอนาคต องค์กรสองระดับนี้ ใช้ความอุตสาหะในการเปลี่ยนคนเดิมในองค์กร ด้วย set ความรู้ และโปรแกรมใหม่ ผ่านการอบรม ใน theme ร่วมสมัย ไม่ว่าจะเป็น Startup Approach ที่ Trainer ส่วนมากไม่เคยทำงานในองค์กรใหญ่ และอาจยังไม่เคยทำอะไรสำเร็จจริง ๆ ด้วยซ้ำไปในฐานะ Startup   บ้างก็พยายามสร้าง Innovate Team  ทั้งหมดเอาวิธีการสมัยใหม่ที่ตนเชื่อ เช่่น Agile, Digital Tranformation, Design Thinking และอีกมากมาย ใส่เข้าไปใน "วัฒนธรรมเดิม" โดยไม่เปลี่ยน "โครงสร้าง หรือ สร้างวัฒนธรรมใหม่" ที่อาจจะเรียกว่า Innovative process ในองค์กร  พอเฟืองจะหมุน (ถ้ามันจะหมุนนะครับ) มันก็ไปเจอเฟืองเดิมที่ไม่เข้ากัน หมุนต่อไปไม่ได้ วนกันเช่นนี้ต่อไป วิธีแบบนี้ คือ Blindate ในความหมายที่ว่า คนที่มา date นั้น Blind หนทาง เส้นทาง กรรมวิธี มา date กับ Know-how ที่ไม่มีวันทำสำเร็จในจารีตเดิมขององค์กร
    • Preneur Revolution, Deconstruction หรือ การปรับองค์กรแบบยกเครื่องนั้นอาจเป็นทางเลือก เช่น การแตกลูกออกมาโดยแม่ไม่ครอบงำ แม่เป็นผู้ลงทุนที่หวังผลการตอบแทน เปลี่ยน Role จากแม่เป็น Stakeholders อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า การพยายามดัน Intraprenuer ในสิ่งแวดล้อมเดิม การหย่าร่างจากระบบเดิมเป็นคำตอบ หากองค์กรขนาดให่ตัดสินใจ จะดีกว่าการปล่อยคนเก่งให้หนีตามคนอื่นไปเป็น preneur และกลับมาเป็นคู่แข่งขององค์กร 
  • (ส่วนใหญ่ของ) ธุรกิจขนาดเล็ก แบบ Conservative Practice และยังลุ่มหลงกับเศรษฐกิจที่เคยโต และความสำเร็จเก่า ๆ เชื่อว่า ยังทำแบบเดิมได้ เปลี่ยนนิด ๆ หน่อย ๆ ในวันที่โลกเปลี่ยนเร็วกว่าที่เคยเข้าใจได้มานานแล้ว ธุรกิจขนาดเล็กและไมโครในไทย มีการปรับตัวเร็ว แต่ไม่เสถียร อยากได้แต่ไม่อยากลงทุน ภาพฝันจะใหญ่กว่าแรงที่ออกจริงเสมอ ๆ เน้นการพึ่งพา External Factors มาก 
    • ​กลุ่มนี้เพียง Enchance เพิ่มพลังของการเป็น Entrepreneurs ที่ปรับเปลี่ยนตัวเอง ให้สมดั่ง preneur ที่ทุกคนเชื่อว่า "เป็น" แต่ บาง ability ถูก Disable ไป  การลดการพึ่งพากลไกอื่น ๆ ลง เปลี่ยนเป็นใช้พลังของตนเองในการแก้ปัญหา และ เปลี่ยนจากการ "โทษปัจจัยทุกตัวบนโลก ยกเว้นโทษตัวเอง" จะทำให้ SME รายกลางค่อนลงมาเล็กของไทยแข็งแกร่งขึ้น โดยรัฐ และผู้เกี่ยวข้องต้องสนับสนุน "เฉพาะราย" ไม่ใช่ "ทุกราย" โดยให้ การสนับสนุนพิเศษสำหรับ รายที่มีแผนธุรกิจที่ใช้งานได้จริง เปิดตลาดให้ในแบบความร่วมมือ "ทวิภาคี" รัฐต้องเลิกการ "ให้เปล่า" เพราะ "สูญเปล่า" นักประกอบการที่ดี คือ นักประกอบการที่แก้ไขปัญหา พร้อมลงทุน พร้อมรับความเสี่ยง อาจจะพร่องทรัพยากรบางตัว เช่น  Technology Knowledge know-how ซึ่งเมื่อ ทรัพยากรที่ขาด มาจากการ "ลงทุนของ SME" ในแบบใด ๆ ก็ตามที่ไม่ "ฟรี" เมื่อนั้น ล้อของเศรษฐกิจก็ไม่หมุนล้อฟรี 

ประเทศไทยต้องปรับกระบวนท่า ผมใช้สัญลักษณ์เชิงล้อเลียนเพื่อสื่อว่า ให้ทำอย่างไรก็ได้ ที่จะผัง Preneurs ลงไปในระดับของ Mindset, Skills ในความหมายอย่างกว้างก็ดี อย่างแคบก็ได้ เราต้องการการเปลี่ยนแปลงแบบ "พลิกโฉม" ในทุกวงการ ซึ่ง ไม่ว่าจะเป็น คลุมถุงชน, ตบจูบขืนใจ, ทุบหัวลากเข้าปล้ำ, ฺblindate ด้วยความรักให้เกิด love at first site หรือวิธีใด ๆ ก็ทำไปเถอะครับ ไม่ต้องเชื่อหรือยยึดวิธีการหยิบแกมหยอดที่ผู้เขียนเสนอ แค่ลองทำให้เกิดผลก็พอ 

รู้อะไรไม่เท่ารู้งี้ เป็นจังซี้ทุกทีสำหรับคนไทย
แผนที่สุดพิเศษ หากไม่ลงมือทำ ก็ไม่มีผลใด ๆ ตามมา 
ต้องเลิกชื่นชมรายงานความสำเร็จที่มะโน 


#พี่แว่นหน้าตาดี
0 Comments
<<Previous
Forward>>
Picture
Picture
Picture
Picture

MonsoonSIM; The business simulation platform for learning and training
more to teach more to learn, easy to teach  easy to learn

MonsoonSIM Thailand by Zonix Services Co.,Ltd. is official reseller in Thailand