MonsoonSIM THAILAND
MonsoonSIMTH
  • MonsoonSIM TH
    • MSIM TH Product & Service >
      • MonsoonSIM Users/Customers ในประเทศไทย >
        • ความเห็นของนักศึกษาที่ได้ใช้ MonsoonSIM
    • ข่าวสาร MonsoonSIM
    • TH Monsooner Library >
      • USER MANUAL & Content
      • ชุดความรู้จาก MonsoonSIM
      • MSIM DAILY WORD with COSCI SWU >
        • MSIMTH COSCI SWU Dailyword
      • MSIM x Data Analytics >
        • Download
      • SKILLS & TOOLS
      • Entrepreneurial Chapter
    • TH Certified Trainer Library >
      • CT Files Tank >
        • CT Manual and Tools
        • Add on Tools by MonsoonSIM TH
      • CT Clips Manual >
        • Basic Game setup, Tools and Tips
        • Configurations drill down
        • Configulations Design
    • Logo download
  • SPECIAL ACTIVITIES
    • COMPETITION >
      • TH ERM LEAGUE >
        • TH ERM LEAGUE 2021
        • TH ERM LEAGUE 2020 >
          • English Presentation Clip
          • MSIM TH LEAGUE 2020
        • TH ERM Challenge 2019 >
          • ผลงานรอบ English Presentation Clip
          • การโต้วาที ใน Semi-Final
        • TH ERM Challenge 2018 >
          • Judges of TH ERM Challenge 2018
          • ผลงานรอบ English Presentation
          • ผลงานรอบนำเสนอ SME CASE
          • FAQ About TH ERM Challenge 2018
          • Download
        • TH ERM Challenge ๒๐๑๗ >
          • คำปรารภจากใจผู้จัดการแข่งขัน
          • ผู้สนับสนุนการแข่งขัน
          • กรรมการรับเชิญของการแข่งขัน TH ERM Challenge ๒๐๑๗
        • TH ERM Challenge 2016 >
          • ประสบการณ์ของ TH Monsooner รุ่น 1
      • MERMC >
        • MERMC 2020
        • MERMC 2019
        • MERMC 2018
        • MERMC 2017 >
          • Competition Quick Information
          • Judges of MERPC
          • Update News about MERPC 2017
        • MERMC 2016
    • MonsoonSIM Freshman >
      • MSIM Freshman 2021
      • MSIM Freshman 2020
    • Thais Teen Entrepreneurial Project
    • Donation Workshop >
      • Donation Workshop 2021 >
        • Q1 2021 Donation Workshop
      • Donation Workshop 2020 >
        • Q4 2020 Donation Workshop
        • Q3 2020 Donation Workshop
        • Q2 2020 Donation Workshop
        • Q1 2020 Donation Workshop
    • MSIM CONFERENCE >
      • MSIM CONFERENCE 2019
      • MSIM CONFERENCE 2020
    • MSIM TH SEMINAR >
      • K-Practice 2020
      • 2016 Series
      • 2017 Series >
        • Related Topic to Seminar Theme
        • Summay and Download
      • League of TH Education Transfornation >
        • Round Table for TH Education Transformation
        • Online Seminar
        • Clip to Lecturer
    • MonsoonSIMTG x Alliances >
      • WoW Academy Thailand 2021!!! >
        • WoW Academy Workshop
      • Entrepreneurial Series by BDT and Gamification
  • Sharing Index
    • BLOG
    • Article by MonsoonSIM TH
  • Contact us

Decode RoV เพื่อใช้เรียนรู้เรื่องการบริหาร จัดการธุรกิจ .....

2/16/2021

0 Comments

 
decode_rov.pdf
File Size: 13863 kb
File Type: pdf
Download File

Picture
0 Comments

ถึงเวลาที่จะต้อง "XXX" ให้มีนามสกุล preneur ต่อท้ายสำหรับประเทศไทยที่มีอนาคตสดใส

1/28/2021

0 Comments

 
Picture
หมายเหตุ: ไม่ใช่บทความทางวิชาการ ไม่ได้ใช้ภาษเขียนอย่างถูกต้อง ปนภาษาพูดเพื่ออรรถรสในการอ่าน และ เหมาะสำหรับคนเปิดใจเท่านั้น
Entrepreneur มีความหมายอย่างแคบ และเป็นคำแปลใหม่จากต้นกำเนิดว่า "ผู้ประกอบการ" ส่วนความหมายอย่างกว้างและดั้งเดิม คือ "นักแแก้ปัญหา" "นักบริหารจัดการตามความประสงค์" ในความหมายของผู้เขียน คือ นักแก้ปัญหาบน "ทรัพยากรที่จำกัด" ให้ได้ตามเป้าประสงค์ ซึ่ง preneur ที่เป็น Suffix ในบทความนี้แปลอย่างหลังสุด


      ในยุคของ Covid-19 เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาช่วยทำให้ "ภาพ" ของการเปลี่ยนแปลงที่ "ประเทศไทย" และ "คนไทย" (และโลก) ต้องเจอในอนาคตนั้นเร็วขึ้น โควิดเสมือนเป็นยานอวกาศ USS Discovery ในซีรีย์และภาพยนต์ Sci-Fi Startrek (ซึ่งโดยส่วนตัวตอนนี้ดีที่สุด)  ที่ผ่านการบิดเบี้ยวของหลุมดำจากสสารแดง ซึ่งหมายถึงโควิดในขณะนี้ พา USS Discovery ไปในอนาคตไกลกว่า 900 ปี ในอนาคต  เท่ากับว่า Covid-19 ช่วยให้เรา "วาร์ป" ตัวเองไปเจอสถานการณ์ของอนาคตได้เร็วขึ้น สิ่งที่ลูกเรือทำ คือ "การพยายามปรับตัว" (Change, Transform, Evolve) ให้เข้ากับโลกอนาคต ที่เทคโนโลยีเปลี่ยนไป การใช้ชีวิตเปลี่ยนไป เหตุเพราะ "ข้อจำกัด" เกิดขึ้น ซึ่งในเรื่องคือ การเกิดขึ้นของวันวอดวาย ที่ทำให้เครื่องยนต์วาร์ปทั้งจักรวาลระเบิดจากปฏิกิริยาที่ไดลิเทียม ซึ่งคือพลังงานหลักในการเดินทางเร็วเหนือแสงนั้นทำไม่ได้ การระเบิดในวันวอดวายทำให้ เชื้อเพลิงไดลิเทียมซึ่งเป็นพลังงานถูกเผาผลาญไปจน แทบไม่เหลือ ทำให้การวาร์ปทำไม่ได้ในเรื่อง 
     แล้วมันเกี่ยวอะไรกับหัวข้อที่ ตอนแรกผมอยากใช้ชื่อหัวข้อว่า ถึงเวลาใส่ Suffix preneurs ในกมลสันดานเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในไทย  แต่ก็ตัดใจทำให้โลกมีสีพาสเทล เป็นชื่อหัวข้อปัจจุบัน คือ ถึงเวลาที่จะต้องมีนามสกุล preneur ต่อท้ายสำหรับประเทศไทย เพื่อให้บทความล้อไปกับ "วิธีคิดและค่านิยม" ของไทย หรือแปลว่า อยากได้อยากมี แต่รอคนอื่นมาทำให้ รอให้มันเกิดเอง 

     Preneur เป็น Suffix ที่เป็นคำมาจากภาษาฝรั่งเศส (กระมัง) แปลว่า "Taker" (หรือ Take as responsbler แปลโดยผู้เขียน) เราไม่ค่อยรู้จักคำนี้แบบโดด ๆ เราจะรู้จักกันในคำว่า "Entrepreneur(s)" หรือ นักประกอบการ (ประวัติของคำนี้ เชิญอ่านที่นี่) เมื่อคำสองคำมาสนธิกัน เกิดเป็นความหมายที่รู้จักกันดีในการมีทักษะแห่งการประกอบการ ซึ่งได้แก่ การเอาชนะอุปสรรคและปัญหา, การจัดการบริหารทรัพยากร เพื่อบรรลุเป้าหมาย, ความสามารถในการใช้ Integrated Skills และ Knowledge เป็นส่วนผสมที่่ลงตัวในการแก้ไขปัญหา, การใช้ Idea มาแปลงเป็น Asset เป็นต้น (ความหมายมีอีกร้อยกระบุงโกย) 
    โดยประสบการณ์ส่วนตัว พบว่า ทักษะที่มีคุณลักษณะ preneur ต่อ่ท้าย จนเรียกว่า "นามสกุล" เป็นสิ่งหายากในทุกวงการในประเทศไทย ยกเว้น Adaptive SME ของไทย ซึ่งมีจำนวนน้อยมาก แต่สร้างมูลค่ามากในกับเศรษฐกิจ สิ่งที่พูดไปก็เหมือน "ถากถาง" ประเทศตัวเอง คือ เราอยู่ใน Comfort Zone จนเรามีนามสกุลที่กลายเป็นนามสกุลพื้นถิ่น อาทิ "Let it be" "Wait and See" "Hope Well" "Others will do" "Not my respond" "Everything is mistake except myself" "Patient" "Not do only argue and critic" (ขออภัยที่ไม่สามารถ list ทั้งหมื่นตระกูลอันน่าเศร้าในที่นี้ได้) นามสกุลแบบนี้ ผสมข้ามพันธุ์กันไปมา จนเป็น DNA ของประเทศไทย และ คนไทย 

ภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจ กับภารกิจคลุมถุงชนจับแต่งกับ preneur ตบจูบแบบพิศาล อัครเสรณี
  • ในวงการภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจ เรามีวิสัยทัศน์อันงดงาม นักการเมือง "ขายฝัน" ตลอด แต่ไม่เคยทำได้ แต่ถ้ากลุ่มนี้จะทำอะไร จะเริ่มจากแนวคิดที่ไม่มี preneurs ต่อท้ายเลย เพราะว่า ดูราวกับมีทรัพยากรไม่จำกัด มีเวลาอันรื่นรมย์ไปเรื่อย ๆ มีความสำเร็จทางกระดาษและรายงาน เราได้ยินวลี เช้าฟาดผัดฟักเย็นฟากฟักผัด ไม่สิ!! ต้องเป็น "เช้าชามเย็นชาม" มาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย (จนหอยเท่าฝาตีน) ทุกวันนี้ เรามีพนักงานราชการ หรือ ข้าราชการ ที่ส่วนมากมีหน้าที่ไม่กี่อย่าง แต่มีจำนวนมากแทบจะเท่างานในกระบวนการที่ต้องทำ เขาเหล่านี้ทำเป็นอยู่สองสามอย่างในงาน เขาทำมากกว่านั้นไม่ได้ ให้เรียนเพิ่มอบรมทั่วประเทศ เสียงบประมาณมากมาย จนสร้าง Toll Way ไปดาวอังคารได้แล้ว เขาก็กลับมาทำเหมือนเดิม ทำเท่าเดิม ในทักษะที่ไม่พัฒนา แต่อายุงานเพิ่มขึ้น ความรับผิดชอบเพิ่มขึ้นนิดหน่อยพอให้ไม่น่าเกียจ แต่เงินตอบแทนเพิ่มขึ้นเป็นแบบอัลกอรึทึ่ม ความสำเร็จในงาน เป็น Linear โตน้อย ๆ แบบเป็นพิธี ผมเคยมีประสบการณ์ไปที่หน่วยงานราชการ เพื่อไปรับเช็คในงานที่ส่งมอบแล้ว แต่ไม่ได้รับหนังสือหัก ณ ที่จ่าย เพราะว่า เจ้าหน้าที่คนที่ทำได้ ไม่มาทำงาน และไม่มีใครอีกเลยในห้องนั้นกว่า 10 ชีวิต ที่ทำงานนี้ได้ ซึ่งการออกเอกสารภาษีหัก ณ ที่จ่าย ควรเป็นทักษะ ความรู้พื้นฐานของแผนกการเงินและบัญชีในความทึกทักเอาของผม แต่โชคดีเหลือเกินที่ ร้อยละ 5-7 ของลูกจ้างภาครัฐ ข้าราชการ และรัฐวิสาหกิจ มีการแต่งงานกับ preneurs ซึ่งเมื่อเขาเหล่านั้นแต่งงานกับ preneur แล้ว เขาเหล่านั้นจะเป็นกลายสภาพเป็นวรรณจัณฑาลในหน่วยงานกลายเป็นของแปลกทันที โดน Gossip เมื่อทำงานเต็มความสามารถ  ถึงแม้นว่าราชการรัฐวิสาหกิจจะแทบไม่ปรับตัวเลย นั่นก็เพราะงานส่วนที่ยังดำเนินการได้ อาศัยกฎหมาย กฎเกณฑ์ มา "บังคับ" มีความก้าวหน้า จากการวัดผลแบบที่ไม่มีใครใครโลกรับได้ มาเป็นแรงผลักดัน และเกิดจากดทคโนโลยีที่ outsource เข้าไป ในราคามูลค่ามากกว่าราคาตลาดหลายร้อยเท่า
  • Governpreneur, State Enterprise-preneur  คือ นามสกุลที่ควรตบแต่ง ผ่านการคลุมถุงชน หรือใช้ตบจูบแบบพิศาลอัครเสรณี  ผมเสนอวิะีนี้เลย เพราะว่าการสมัครใจเปลี่ยนแปลงในองค์กรภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจจะใช้การไม่ได้กับวัฒนธรรมองค์กร และค่านิยมในสังคมการทำงาน ที่หยั่งรากลึกจนเป็นโควิด-19 ในสหรัฐอเมริกา (เกินเยียวยาในวันที่เขียนบทความนี้) 
    • การจับคลุมถุงชน คือ ขืนใจให้แต่ง และได้เสียเป็น preneur เป็นวิธีการที่ดีวิธีแรก เพราะว่า การคลุมถุงชนนั้น อยู่ ๆ ไปก็จะรักกันเองแบบในนิยาย (กระมัง) ซึ่งหากเจ้าบ่าวเจ้าสาวไม่เต็มใจ ก็ให้หนีออกไปจากระบบไป ไปตามหากรักแท้ที่อื่น ซึ่งอาจจะดีกับครอบครัวที่จะไม่ต้องอยู่เพราะว่าไม่รักกันก็ได้  วิธีการนี้เป็นวิธีการที่เคยถูกใช้ในประวัติศาสตร์และใช้ได้ดีกับการเปลี่ยนแปลงแนวอนุรักษ์นิยม ตัวอย่างเช่น การจับไล่สอบเปรียญธรรมในรัชกาลที่ 4 เพื่อจุดประสงค์ในการจัดระเบียบพระศาสนาในอดีต เป็นต้น (อีกตัวอย่างเป็นตัวอย่างที่เกิดในเกาหลี จะเล่าให้ฟังในหัวข้อต่อไป)
    • ใช้ตบจูบโซลูชั่น ในระดับซาดิสม์เหมือนละครจำเลยรัก ตอนที่พระเอกจับนางเอกไปทรมาน  คือ ให้งานที่ทำ และมี "เกณฑ์วัดผล" ที่เอื้อให้เกิด "การเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยยะสำคัญตามเป้าหมาย" แลพะ "มองลงไปที่กระบวนการในการทำให้เกิดสัมฤทธิผล" (ที่กลุ่มนี้ทำไม่ได้หรอก) ในกรณีที่ถ้าไม่ได้ในสิ่งที่คาดหวัง ก็ตบ เอาแส้เฟาดเทียนรน เอ้ย หมายถึง "ให้มีผลต่อการอาชีพ และการงาน" (เรียกว่า ทำลาย Comfort Zone ที่กัดกินประเทศนี้จากการไม่มีประสิทธิภาพ)  ในกรณีที่งานประสบผล (จริง มากกว่าประสบผลสำเร็จบนกระดาษมากกว่าที่ทำกันจนชิน) เป็นไปตามเป้าหมายภายใต้เวลาที่กำหนด และใช้ "ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าไม่ฟุ่มเฟือย และไม่ฉ้อโกง" ก็ควรให้ "รางวัล" (ปัจจุบันรางวัลไม่ทำอะไรก็ได้มา หรือได้มาจากเกณฑ์วัดผลที่ตั้งแบบไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ) เป็นจูบเหมือนในตอนท้ายที่พระเอกรักสรญาจนหัวปักหัวปำ  แผนและ execution plan ที่ได้ให้ใช้วิธีการวัดผล ลดกระบวนการทางธุรกิจ ทำขั้นตอนให้ LEAN "แบบภาคเอกชน" เพื่อกระชับปรับเปลี่ยนระเบียบวิธีปฏิบัติราชการที่ล้าสมัยเสีย 
    • สำหรับสายโลกสวยที่บอกว่า การเปลี่ยนแปลงที่ต้องเกิดเป็นผลทางบวก ควรมาจากความสมัครใจ แนะนำให้กลับไปในโลกนิยาย เพราะว่าที่นั่นเป็นทุ่งลาเวนเดอร์ที่คุณใฝ่หา เพราะว่า การไม่บังคับใรนกลุ่มนี้ จะไม่เกิดผลใด ๆ 

ภาคการศึกษา กับการทุบหัวแล้วลากเข้าถ้ำ เพื่อให้สมยอมเป็น preneur แล้วรอความหวังในนักการศึกษารุ่นต่อไป
  • ในภาคการศึกษาน่ารันทดใจ เหมือนเอาฉากเดิม ที่ตัวร้ายแกล้งทำดีเพื่อเอาใจพระเอก วนซ้ำจนเราเดาทิศทางได้ว่าละครไทยจะเป็นอย่างไรมาตลอด 40 ปี (เท่าที่ผมนับจากอายุตัวเอง) การศึกษามีหลายระดับ ในระดับนโยบายเปลี่ยนแปลง "หัว" และ "นโยบาย" ตามใจพรรคการเมือง เพราะว่าเป้นกระทรวงที่มีงบประมาณมากที่สุดในประเทศไทย นั่นเป็นระดับนโยบาย หนึ่งในมายาคติ คือ "เก่งและดี" ในยุคที่ "ปากกัดตีนถีบบนโลก Disruptive" และมีที่ปรึกษาเป็น "นักวิชาการ" ที่เชื่อว่า ต้องปั้นนักวิชาการในการศึกษาไทย โดยลืมไปว่า เยาวชนมีความหลากหลาย เรายังไม่เห็นนโยบายที่ยอมรับความหลากหลาย และมีวิธีการวัดผลที่แตกต่างกันไป "การศึกษาของเรายังเป็นโรงงานผลิตของโหล" มีบ้างที่เริ่มเปลี่ยนแปลง แต่เปลี่ยนจริงจัง แบบ คุณไม่หลอกดาวนั้นยังหาไม่ได้ ​
    • ​นโยบายด้านการศึกษาเกิดจาก "ด๊อก"เตอร์ มากมายมารวมตัวกัน ตัดสินเลือกคุณลักษณะที่พวกเขาต้องการ สร้างความชอบธรรม โดยเอาตำแหน่งและผลงานทางวิชาเกิน(การ) มาวัดกัน เขาจะบอกว่า เยาวชนต้องเป็นคนดีมีศีลธรรม แต่ด๊อกเตอร์ผู้มีอำนาจบริหารล้วนกลายพันธ์เป็นนักการเมืองในวงการศึกษา ตีกินในวงการบริหารการศึกษาของแต่ละสถาบัน ที่โลกมายาบอกว่าเล่นการเมืองรุนแรงกว่าในสนามเลือกตั้งเสียอีกมันย้อยแย้ง เพราะว่า EGO มาพร้อมกับ คำนำหน้า และคนที่เห็นด้วยกับฉัน คือ คนที่
    • ในระดับมหาวิทยาลัย เป้าหมายที่เลี่ยงบาลีจาก "เก่งและดี" ถูกเปลี่ยนเป็น "จะผลิตบัณฑิตที่มีคุณภ่าพ" มันมีความน่าสนใจ เพราะว่ามีเพียงไม่กี่คณะ หรือวิทยาลัยที่เวลาดู "วิสัยทัศน์" กับ "พันธกิจ" กับ วิธีการที่เปลี่ยน Raw Material เป็น Goods นั้น ไม่สอดคล้องกัน ภาพลักษณ์ในวิสัยทัศน์มีไว้อวดอ้าง พันธกิจมีไว้เขียนของบประมาณ ส่วน Actual Action นั้น ขึ้นอยู่กับอาจารย์ที่มี "จิตใจ" "Passion" "ความรับผิดชอบในหน้าที่หลักในฐานะครู" ซึ่งของแบบนี้ในแต่ละบุคคลากรมีไม่เท่ากัน ซึ่งส่วนมากทำเพียงพอผ่าน means ในการประเมิน
    • ในสถาบันการศึกษานับเฉพาะ Higher Education ที่มีมาตรฐานวิชาการมากมาย มีกูรู้มากมาย จนหากคุณหยิบถั้วเขียวมาหนึ่งกำแล้วปากไป ถั่วเขียวเกือบทุกเม็ดจะต้องโดน ตำแหน่งทางวิชาการ ดีกรีทางการศึกษา ทั้งสิ้น บางสถาบันมีทุกศาสตร์ แม้กระทั่งศาสตร์ที่ไม่ควรจะมี หรือเชี่ยวชาญ ทุกสถาบันควรมีการจัดการยอดเยี่ยมเป็นตัวอย่างทางอุดมคติเพื่อให้เป็นเสาแห่งปัญญาของสังคม ทว่า ทุกสถาบันอุดมศึกษาศึกษาของไทยสอบตกด้านการจัดการทุกที่ แล้ว "สรรพวิชาเหล่านั้นที่ควรเป็นสุดยอดในการจัดการต่าง ๆ" พบว่า "โทษฟ้า โทษลม โทษคน โทษระบบ" เป็นคำอธิบายเสมอ การจัดการในหน่วยงานภายในเละเทะไม่เป็นท่า 
    • สถาบันการศึกษาอุดมศึกษาแทบทั้งหมด พบว่าไม่สามารถจัดการกลไกในการให้บริการแก่ "ลูกค้า" ได้ เพราะว่าไม่เคยฟังลูกต้าเลย เพระาว่าการศึกษาไทย ครูอาจารย์เป็นใหญ่ ไม่เคยเป็น Mentor, Facilitator  สถาบันการศึกษาไม่ทำอะไรที่สอดคล้องกับความต้องการของ "ตลาด" เพราะว่า ผลิตของที่ตนเองอยากทำ หรือเชียวชาญ ตลาดไม่มีทางเลือกอื่น (มีบ้างที่ตลาดบางทีจึงเปลี่ยนเป็นผู้ผลิตเสียงเอง บางทีพยายาม OEM ร่วมกัน ซึ่งโครงการเหล่านี้ Fail)  สถาบันการศึกษาอุดมศึกษาในไทยโดยภาพรวมผลิตคนที่ ไม่สามารถเปลี่ยนความรู้เป็น Action ออกมา แถมด้วยทักษะลูบหน้าปะจมูก ทักษะที่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ แต่เกรดงดงาม ฯลฯ เป็นภาระขององค์กรเอกชนและรัฐที่ต้อง "อบรม" กันใหม่ และเสียเวลาเฉลี่ย 4 ปีในชีวิตคนคนหนึ่ง เสียเม็ดเงินมหาศาล  สิ่งที่เขาทำ คือ มาตรฐานทางวิชาเกินที่สูงขึ้น โดยเน้นการพัฒนาบุคคลากร แล้ว "ไหว้เจ้า" (ฝากความหวังไว้) ขอให้บุคลากรเหล่านั้นมา "โปรดสัตว์"  ด้วยการนำเอา เวลาและทรัพยากรที่ทุ่มไปในงานวิจัยเหล่านั้น กลับมา "IMPLEMENT ใน ชั้นเรียน" (บ้างก็ยังดี) การพัฒนาคนมีเป้าหมายที่สวยหรู แต่หาก Emphatize แล้ว  Vision โดยสุจริตของสถาบัน กับ Side-Vision คือ จำนวนของงานวิจัยมีบทความทางวิชาการตีพิมพ์เท่ห์ ๆ อย่างน้อย 1-2 งานต่อปี เหมาจำนวนเป็นเข่งรวมกันกับ และ จำนวนตำแหน่งทางวิชาการ  เพื่อเข้าเกณฑ์และได้ STANDARD มา Side-Vision อาจมีอิทธิพลมากกว่า Vision ที่ประกาศไว้ คือการพัฒนาคน เพื่อให้คนพัฒนาสังคมและประเทศ  ทว่า Standard เหล่านั้น มีอานิสงค์น้อยมากที่วนกลับมาสู่เยาวชน ในความเป็นจริง เยาวชนที่เก่ง คือ เยาวชนที่ดิ้นรนศึกษาด้วยตัวเองส่วนใหญ่ มิได้เกิดจาก "ห้องสี่เหลี่ยมของคนหัวสี่เหลี่ยม" ในหลายปีที่ผ่านมาเรามีสถาบันการศึกษาดาหน้ากันออกมา Transform ด้วย Propaganda ใหม่ ไส้ในเดิม ๆ หลักสูตรฉูดฉาดเต็มไปด้วย Buzz Word แค่ว่า อาจารย์ใช้สไดลฺ์เปลี่ยน Font ใหม่ เนื้อหาเดิม เพิ่มเติมไม่ให้ตกเทรน สอนแบบเดิม วิธีวัดผลเดิม ๆ ทั้งหมดรวมตัวกันในเครือสถาบันการศึกษา ชื่อ "คุณหลอกดาว"
    • Educatorpreneur คือ สิ่งที่ต้องทุบหัวลากเข้าถ้ำ จับผสมพันธ์ุแต่งงานโดยพฤตินัยกับ preneur  ยิ่งนานไวรัสยิ่งทำร้ายปอดและระบบหายใจทั้งหมด ใช้การทุบหัวลากเข้าปล้ำเป็นวัคซีนแก้โรคร้ายกัน เป็นภารกิจที่ต้องทำ รอผู้มีอำนาจตัดสินใจ เพื่อสร้าง specie ย่อยต่าง ๆ
      • ​Teacherpreneur, Lecturerpreneur อาจารย์ที่สร้างสรรค์มองประโยชน์ของนักศึกษา สรรหาวิธี กลยุทธ์ กระบวนการในการสร้างคนให้ประเทศ ไม่ใช่ คนที่แปล text มาสอน หรือ จำอาจารย์ของอาจารย์ ที่จำอาจารย์ของอาจารย์มาสอนอีกที  เป็น Stage แรกในการ Trandform การศึกษาในไทย บุคคลากรสายสอนมีภาระงานวิจัย ถ้าไม่ทำวิจัยก็จะไม่มีโอกาสได้สอน เพราะว่า "ต้นสังกัด" วัดผลให้ค่านำหนักมากกับงานวิจัย ซึ่งไม่ใช่่หน้าที่หลักใช่หรือเปล่า ความเชื่อที่ว่าอาจารย์ที่ทำวิจัย จะสอนหนังสือได้ดีขึ้น วัดผลอย่างไร วัดผลจากอะไร วัดผลเป็นไปตามเป้าประสงค์ของการเป็น "สถาบันให้การศึกษา" หรือ เป็นที่รวมกันของนักพัฒนาตนเอง เพื่อไปหากินข้างนอก "สถาบันให้่การศึกษา" 
      • Facitatorpreneur ในการ Transform ศึกษา ตัวบุคคลากรสำคัญระดับ Playmaker, Change Agent นั้น ต้องเป็น Teacherpreneur, Lecturerpreneur ในระยะแรก และเปลี่ยนสแปลงตัวเองเป็น Facitatorpreneur คือ ผู้มอบ ผู้กรุยทาง เพื่อสร้างความรู้และประสบการณ์ โดยเลือกมอบอาวุธทางปัญญา และฝึกสอนให้ใช้อาวุธเป็น ไม่สอนเฉพาะในเรื่องที่ตัวเองชอบ หรือคลั่งไคล้ลุ่มหลง ตรงจริต โดยเฉพาะสายสังคมศาสตร์ที่มีผลกระทบต่อสังคม ผมยกตัวอย่างเสมอเวลาที่ได้รับเชิญไปพูดในเรื่อง Education Transformation ในการเป็น Facilitator นั้น คือ เจ้าพนักงานส่งอาวุธ ที่เมื่อพระมหากษัตริย์หรือเจ้านายในอดีตออกศึก พนักงานท่านนี้มีหน้าที่ดูลักษณะของเกมศึก ว่าข้าศึกเข้ามาในลักษระใด ระยะห่าง และยุทธวิธี เพื่อส่งอาวุธที่มีหลากหลายชนิดที่พร้อมบนสัปคับชนหลังช้าง ซึ่งแน่นอนว่า แต่ละชนิดมีของสำรองไว้เสมอ นั่นหมายถึง เมื่อใดจะต้องใช้ ชุดอาวุธทางปัญญาใดในการแก้ปัญหา ซึ่งเป็นบทบาทของ Facilitatorpreneur ที่เยาวชนจะเลือกอาวุธที่เหมาะสมในสงครามของชีวิต 
      • Resercherpreneur ในแวดวงธุรกิจ RnD เป็นแกนหลักของการก้าวกระโดดของภาคเอกชน สาาหตุที่ก้าวกระโดดเพราะว่า งานวิจัยเหล่านั้น Commercialize (สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ) และ Socialize (สร้างคุณค่าให้สังคม) อย่างใดอย่างหนึ่งหรือประสานประโยชน์รวมกัน  ทว่างานวิจัยในภาคการศึกษา และรวมถึงในภาครัฐ ซึ่งใช้งบประมาณเท่าไหร่ ผมไม่มีตัวเลข ทว่า มีจำนวนน้อยมากที่สามารถ Commericialize และ Socialize ได้จริง เพราะว่างานวิจัยในภาคการศึกษา คือ จำนวนที่ต้องทำตามระเบียบเพื่อประโยชน์ซึ่งไม่ตรงปก ประโยชน์ในการวิจัย เพื่อการพัฒนาองค์ความรู้ และสร้างนวตกรรมใหม่ ๆ ทว่าผู้วิจัยสในภาคการศึกษาจบบทบาทตรงที่วิจัยเมื่อผ่านเกณฑ์ตามจำนวน และตีพิมพ์ในวารสารที่มีเกรดให้เลือกมากมาย และ "สิ้นสุด" ทางของงานวิจัยนั้น เพื่อ "ขึ้นหิ้ง" และไม่นำมาใช้ ทำไมภาคการศึกษาไทยต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก ให้กลับไปอ่านเนื้อหาด้านบนอีกรอบได้ครับ
      • Specialize Young Entrepreneurs เป็นผลผลิตของภาคการศึกษาที่จะเปลี่ยนแปลงไทย โดยประสบการณ์ส่วนตัวในภาคการศึกษา ที่พบพานคณบดี อาจารย์หัวหน้าสาขาวิชา ผู้อำนวยการโครงการ จากการพูดคุยมาบ้าง ซึ่งบางครั้งก็ตกใจว่า ท่านเหล่านีอาจะจับสลากได้ตำแหน่งมา  เช่น มีความเข้าใจที่ว่า Entrepreneurs คือ หน้าที่ของคณะสายบริหารธุรกิจ บางมหาวิทยาลัยแยกวิทยาลัยการประกอบออกจาคณะบริหารธุรกิจอีกที เป็นต้น ทั้ง ๆ ที่ Entrepreeurial Skills ควรเป็น ทักษะพื้นฐานที่สถาบันการศึกษาทุกศาสตร์ต้องพยายามสร้าง Entrepreneurial Mindset คือจิตลักษณะที่ควรจะปลูกผัง แล้วให้เด็กที่พร้อมเป็น Entrepreneur เป็น Entrepreneurs และสายที่เป็น Officer เป็น Intrepreneurs ขององค์กรที่จะไปทำงาน  ผู้เขียนนิยมให้ ใช้ "ความรู้เฉพาะทางของแต่ละสาขา" ผสมรวมกับ "preneur" ให้เป็น Puupy Love ตั้งแต่วัยเยาว์ และเมื่อจบเขาจะมีนามสกุล preneur ห้อยท้ายวิชาเฉพาะ และสร้างประโยชน์ที่แตกต่าง มากกว่าเดิม เช่น เราจะมี Veteropreneur, Engineerpreneur, Sociopreneur, Politicalopreneur, Dentisopreneur etc  อีกมากมาย ที่สร้างสรรค์วิธีการทำงานใหม่ มีพื้นฐานการแก้ปัญหา มีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของสังคมที่มี action ที่ valid วัดผลได้ 
      • วิธีการทุบหัวลากเข้าปล้ำ (ถ้า) คือ วิธีที่ ประเทศที่มีประวัติศาสตร์แห่งความยากจนเหมือนไทย แต่วันนี้เขียนประวัติศาสตร์ใหม่เป็นประเทศแห่งความร่ำรวยแล้ว (เรื่องนี้ไปอ่าน EP9 EP10 EP11 ในซี่รี่ย์แชร์ประสบการณ์ได้ครับ) เช่น เกาหลีใต้นั้น เขอเจอปัญหานี้เมื่อ 25-30 ปีก่อน เขาใช้วิธี "ทุบหัว" ด้วยการให้ ครูอาจารย์ทั้งประเทศที่ไม่มี skills หรือ ความรู้ ที่เหมาะกับการพัฒนาประเทศ อยู่ในวิชาที่ไม่สนับสนุนการเติบโต "ลากเข้าถ้ำให้ปล้ำกับเรื่องใหม่" ด้วยการทำโครงการ National Reskills & Upskills ครูอาจารย์ทั้งหมด ผลที่ได้ไม่พูดเยอะนะเจ็บคอ คือ ครูอาจารย์ที่ผ่านการ Reskills และ Upskills นั้น มีความพร้อม และไม่ได้สูญเสียอาชีพ ประเทศได้ประโยชน์ตามที่ท่านเห็น ส่วนกลุ่มที่ไม่พร้อมเลย ก็ได้บอกลาจากอาชีพและความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงนี้  
      • เหตุใดจึงแนะนำวิธีนี้กับการศึกษาไทย เพราะว่า ภาคการศึกษาไทยอยู่ใน Red Zone หากท่านไปอ่าน EP9 EP10 EP11 ท่านจะเห็นว่า "จุดร่วม" ในประวัติศาสตร์ สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรมคล้ายกันระหว่างไทยกับเกาหลี ทว่า กล้าหาญพอหรือเปล่าที่จะลงมือ บางทีสังคมไทยต้องเจ็บปวดบ้างเพื่อเติบโต
      • การสร้าง Entrepreneurial ในสถาบันการศึกษาหลายแห่งในต่างประเทศนั้นจริงจัง  กว่าการแข่งขัน startup ของไทย ที่แข่งจบแล้วจบกัน ราวกับทุกฝ่ายต่างแยกย้ายหมือนดูภาพยนต์จบหนึ่งเรื่องและโรงถูกเปิดไฟ บรรยากาศร่วม เช่น เคยหัวเราะ รู้สึกดราม่า ไปด้วยกันของคนในโรงพภาพยนต์ขณะชมภาพยนต์ฉายหมดไปทันใด
        • ทุกคณะและวิทยาลัยอยู่ภายใต้ Entrepreneurial Skills อ่านไม่ผิดนะครับ ทุกคณะและสาขาวิชา นักศึกษาจะเรียนในสาขาวิชาใด ๆ ซึ่งถือเป็น Hard Skills (Knowledge) หลัก เขาจะได้รับการฟูมฟักเอา Entrepreneurial Skills และเพื่อน ๆ ของทักษะที่เกี่ยวข้อง คณะและสาขาวิชาจะส่งเสริมอย่างจริงจัง สร้าง Eco-systems ต่าง ๆ เพื่อที่นักศึกษาของเขา จะได้รับโอกาส และประสบการณ์ โดยมีอัตราของการเกิดขึ้นของ Entrepreneurs จริง ในรูปแบบของนิติบุคคลในรั้วมหาวิทยาลัยในปีท้าย ๆ ซึ่งเปอร์เซ็นต์ของความสำเร็จในรุ่นแรกมีน้อยมาก คือ น้อยกว่า 1% ของจำนวนนักศึกษา ทว่าอัตราความสำเร็จเพิ่มขึ้นทุกปี พร้อมกับกระบวนการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของการเรียนการสอนภายในมหาวิทยาลัยด้วย เขายอมรับอัตราของความสำเร็จ เรียนรู้และปรับตัว โดยยืนบนหลักความจริง ถ้าเป็นมหาวิทยาลัยของไทย จะรีบหมกเม็ดโครงการนี้ หรือ ตกแต่งตัวเลขความสำเร็จให้เว่อร์วัง 
        • ในประเทศเกาหลี มหาวิทยาลัย โรงเรียน เพิ่ม แทรกสอด หลักสูตรของ Entrepreneurs รวมเข้ากับการให้ความร่วมมือของภาครัฐ และเอกชน ต่อเนื่องกันเป็นระบบ เมื่ออยู่ในมหาวิทยาลัย เหล่า Startup และ Young-Entrepreneurs เหล่านี้ ได้รับการดูแล มีพี่เลี้ยงจริงๆ มีกลุ่มทุนรอสนับสนุนจริง ๆ ที่พร้อมจะให้โอกาสและไปดูแลให้เติบโตแข็งแรง โดยมีการวิจัยหลักสูตร Entrepreneurs และใช้งานจริง เช่นโครงการของ Dongkuk University ที่ผู้เขียนไปพบเห็นมาจากการไปดูงานและไปศึกษาเรื่อง Startup เพิ่มเติม และมีโครงการอย่าง K-ICT Born to Global ที่ชัดเจนในแนวทางของการสร้างคน หรือยังมี Agency ที่เกิดจากการรวมพลังของทุกฝ่ายอย่าง TIPS KOREA ท่านไปอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในเอกสาร EP9 10 และ 11 ใน K-Experience Series เพิ่มเติมได้
      • ประเทศไทยไม่มีการรวมตัวอย่างเป็นระบบ เพราะว่า เราไม่บูรณาการอะไร ทุกฝ่ายมีธงของตัวเอง มีตัวเลขที่ต้องปั้น กระจายทรัพยากรที่ควรฝนึกกำลังกันออกไป ภาครัฐก็เปลี่ยนนโยบายเหมือนกระดาษชำระเมื่อเปลี่ยนรัฐบาล หน่วยงานของรัฐที่ทำเรื่องเดียวกัน แต่ไม่เชื่อมโยง เพราะว่า การมีหน่วยงานมาก หมายถึงงบประมาณที่รั่วไหลได้ง่ายกว่าในโครงการที่วัดความสำเร็จบนรายงานตัวเลขมะโน เราจึงยังไม่มีไซโกตของม้านิลมังกรสายพันธุ์พื้นเมืองไทยล้วนเลยในโลกจริง ที่มีแล้วยกยอปอปั้นว่าเป็นยูนิคอร์น นั้นเป็นม้าพันธุ์นอกผสมพันธุ์ไทย ไม่มีพันธุ์พื้นเมืองล้วน ๆ แบบที่ ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนมี เพราะว่าวิธีของเราลูบหน้าปะจมูกทั้งกระบวนการ
​
ภาคธุรกิจกับยุทธวิธีร้อยแปดตั้งแต่ภารกิจแม่สื่อถึง Blind date จนกว่าจะได้เสียเกี่ยวดองกับ preneur
  • ​(บางส่วนของ) ธุรกิจขนาดใหญ่ อยู่รอด มีทรัพยากรต่าง ๆ ที่จำเป็นมากมาย สะสมและเพิ่ม Knowledge Know-how ให้กับพนักงาน ผู้บริหารมี Know-Why ชัดเจน  ปัญหาคือ การเพิ่มขนาดของอาณาจักรทางธุรกิจออกไปในกระแสธารของ Economy Disruptive  ทำให้ยักษ์ใหญ่ต้องเปลี่ยนตัวเองมากกว่าเดิม ด้วความพยายามแตกไปโตในตลาดใหม่ ๆ โอกาสใหม่ ๆ โดยใช้ทรัพยากรที่มีมากคุือ ทุนที่เป็นเม็ดเงินไปต่อยอด ทว่าองค์กรยักษ์ใหญ่เหล่านี้ ที่ระบบ และการทำซ้ำในกระบวนการเสถียรจาก Merket Share ที่มีมากมาย ทำให้ DNA ขององค์กรใหญ่ฝังลงไปในระดับโครโมโซม เปลี่ยนแปลงได้ยาก 
  • (ส่วนมากของ) ธุรกิจขนาดกลาง ค่อนไปใหญ่ พยายามสร้าง DNA ใหม่ของตัวเอง ด้วยความพยายามเอาโครโมโซมของตัวเอง ปะด้วยโครโมโซมจากองค์กรใหญ่ Cut Paste กันไปมา ทว่าไม่ได้เก็บยีนเด่น Dominent Gene มา แต่เอา Recessive Gene แฝงมาด้วย เป็นตัวอ่อนที่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ คือ มีดนวนโยบายแบบ Large Enterprise บางทีไม่มี Knowledge ที่จำเป็น และส่วนมากมีความ sensitive ในการลงทุนเพื่อการเปลี่ยนแปลง เป็นสายพันธ์ที่เป็นหมันเพราะโครงการพับไปเมื่อจบระยะแรกเกือบทั้งหมด​
    • ​Intrapreneur คือ ความพยายามสร้างให้บุคลากรในระบบ มีแนวทักษะแห่งการประกอบการ เปลี่ยนจากลูกจ้างเป็น ลูกจ้างมืออาชีพ และจะต้องเปลี่ยนเป็น นักประกอบการขององค์กร  ซึ่งการพยายามพัฒนา Mid Level Management ในรอบ 10 ปีที่่ผ่านมา โดยมากไม่ประสบผลสำเร็จตามเป้า เพราว่า DNA ขององค์กร ยังไม่มีโอกาส Mutant หรือกลายพันธุ์ ส่วน High Level Management บริษัทขนาดใหญ่บางส่วนเปลี่ยนจากยุคที่รุ่งเรื่อง เป็นโครงสร้างกึ่งรัฐในหน้ากากเอกชน แนวความคิดของการได้รับผลประโยชน์มากกว่าการส้รางประโยชน์ หรือสิทธิ์ที่พึงได้รับในตำแหน่งบริหารที่สูงขึ้น เป็นยีนส์ที่เกิดการกลายพันธุ์ที่ไม่พึงประสงค์  การสร้างนักประกอบการภายใน หรือที่ต้องการให้ มีส่วนรวมเสมือนเป็นเจ้าของ หุ้นส่วนของบริษัท ถูกธรรมเนียมให้ทำเนียนแบบไทย สิ่งหนึ่งที่น่ตกในคือ ระบบต่าง ๆ ถูกสร้างให้เสถียรมากจนยากจะเปลี่ยนแปลง การมี mamagement level เยอะ ทำให้การตัดสินใจกลับล่าช้า และขัดผลประโยชน์ไปมาระหว่างทีมด้วยกันเอง วิธีแบบนี้สะท้อนราวกับ ผู้บริหารพยายามเป็นแม่สื่อให้แต่งงานกับคนไม่รู้จัก และที่สำคัญคือ ไม่ click กัน
    • Transformer-prenuers หรือ Chage Agent เป็นสิ่งที่องค์กรกำลังหา ทว่า เจอปัญหา Conflict of Mindset ของโลกเดิม โลกเก่า โลกทัศน์ใหม่ และโลกอนาคต องค์กรสองระดับนี้ ใช้ความอุตสาหะในการเปลี่ยนคนเดิมในองค์กร ด้วย set ความรู้ และโปรแกรมใหม่ ผ่านการอบรม ใน theme ร่วมสมัย ไม่ว่าจะเป็น Startup Approach ที่ Trainer ส่วนมากไม่เคยทำงานในองค์กรใหญ่ และอาจยังไม่เคยทำอะไรสำเร็จจริง ๆ ด้วยซ้ำไปในฐานะ Startup   บ้างก็พยายามสร้าง Innovate Team  ทั้งหมดเอาวิธีการสมัยใหม่ที่ตนเชื่อ เช่่น Agile, Digital Tranformation, Design Thinking และอีกมากมาย ใส่เข้าไปใน "วัฒนธรรมเดิม" โดยไม่เปลี่ยน "โครงสร้าง หรือ สร้างวัฒนธรรมใหม่" ที่อาจจะเรียกว่า Innovative process ในองค์กร  พอเฟืองจะหมุน (ถ้ามันจะหมุนนะครับ) มันก็ไปเจอเฟืองเดิมที่ไม่เข้ากัน หมุนต่อไปไม่ได้ วนกันเช่นนี้ต่อไป วิธีแบบนี้ คือ Blindate ในความหมายที่ว่า คนที่มา date นั้น Blind หนทาง เส้นทาง กรรมวิธี มา date กับ Know-how ที่ไม่มีวันทำสำเร็จในจารีตเดิมขององค์กร
    • Preneur Revolution, Deconstruction หรือ การปรับองค์กรแบบยกเครื่องนั้นอาจเป็นทางเลือก เช่น การแตกลูกออกมาโดยแม่ไม่ครอบงำ แม่เป็นผู้ลงทุนที่หวังผลการตอบแทน เปลี่ยน Role จากแม่เป็น Stakeholders อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า การพยายามดัน Intraprenuer ในสิ่งแวดล้อมเดิม การหย่าร่างจากระบบเดิมเป็นคำตอบ หากองค์กรขนาดให่ตัดสินใจ จะดีกว่าการปล่อยคนเก่งให้หนีตามคนอื่นไปเป็น preneur และกลับมาเป็นคู่แข่งขององค์กร 
  • (ส่วนใหญ่ของ) ธุรกิจขนาดเล็ก แบบ Conservative Practice และยังลุ่มหลงกับเศรษฐกิจที่เคยโต และความสำเร็จเก่า ๆ เชื่อว่า ยังทำแบบเดิมได้ เปลี่ยนนิด ๆ หน่อย ๆ ในวันที่โลกเปลี่ยนเร็วกว่าที่เคยเข้าใจได้มานานแล้ว ธุรกิจขนาดเล็กและไมโครในไทย มีการปรับตัวเร็ว แต่ไม่เสถียร อยากได้แต่ไม่อยากลงทุน ภาพฝันจะใหญ่กว่าแรงที่ออกจริงเสมอ ๆ เน้นการพึ่งพา External Factors มาก 
    • ​กลุ่มนี้เพียง Enchance เพิ่มพลังของการเป็น Entrepreneurs ที่ปรับเปลี่ยนตัวเอง ให้สมดั่ง preneur ที่ทุกคนเชื่อว่า "เป็น" แต่ บาง ability ถูก Disable ไป  การลดการพึ่งพากลไกอื่น ๆ ลง เปลี่ยนเป็นใช้พลังของตนเองในการแก้ปัญหา และ เปลี่ยนจากการ "โทษปัจจัยทุกตัวบนโลก ยกเว้นโทษตัวเอง" จะทำให้ SME รายกลางค่อนลงมาเล็กของไทยแข็งแกร่งขึ้น โดยรัฐ และผู้เกี่ยวข้องต้องสนับสนุน "เฉพาะราย" ไม่ใช่ "ทุกราย" โดยให้ การสนับสนุนพิเศษสำหรับ รายที่มีแผนธุรกิจที่ใช้งานได้จริง เปิดตลาดให้ในแบบความร่วมมือ "ทวิภาคี" รัฐต้องเลิกการ "ให้เปล่า" เพราะ "สูญเปล่า" นักประกอบการที่ดี คือ นักประกอบการที่แก้ไขปัญหา พร้อมลงทุน พร้อมรับความเสี่ยง อาจจะพร่องทรัพยากรบางตัว เช่น  Technology Knowledge know-how ซึ่งเมื่อ ทรัพยากรที่ขาด มาจากการ "ลงทุนของ SME" ในแบบใด ๆ ก็ตามที่ไม่ "ฟรี" เมื่อนั้น ล้อของเศรษฐกิจก็ไม่หมุนล้อฟรี 

ประเทศไทยต้องปรับกระบวนท่า ผมใช้สัญลักษณ์เชิงล้อเลียนเพื่อสื่อว่า ให้ทำอย่างไรก็ได้ ที่จะผัง Preneurs ลงไปในระดับของ Mindset, Skills ในความหมายอย่างกว้างก็ดี อย่างแคบก็ได้ เราต้องการการเปลี่ยนแปลงแบบ "พลิกโฉม" ในทุกวงการ ซึ่ง ไม่ว่าจะเป็น คลุมถุงชน, ตบจูบขืนใจ, ทุบหัวลากเข้าปล้ำ, ฺblindate ด้วยความรักให้เกิด love at first site หรือวิธีใด ๆ ก็ทำไปเถอะครับ ไม่ต้องเชื่อหรือยยึดวิธีการหยิบแกมหยอดที่ผู้เขียนเสนอ แค่ลองทำให้เกิดผลก็พอ 

รู้อะไรไม่เท่ารู้งี้ เป็นจังซี้ทุกทีสำหรับคนไทย
แผนที่สุดพิเศษ หากไม่ลงมือทำ ก็ไม่มีผลใด ๆ ตามมา 
ต้องเลิกชื่นชมรายงานความสำเร็จที่มะโน 


#พี่แว่นหน้าตาดี
0 Comments

EP 11  บทเรียนจากแดนกิมจิ สู่เมืองส้มตำ ว่าด้วยการเดินทางจาก Start up สู่ Entreprenuership: (K-Ex3) C&D&I

5/27/2020

0 Comments

 
หากท่านได้พลาด EP9 (K-Ex1) และ EP10 (K-Ex2) เพื่อความเข้าใจโปรดกลับไปอ่าน
Picture
K-Solution นั้น แตกต่างจากแผบบแผนของประเทศไทยมาก คือ ของเกาหลีนั้น "รวมพลัง" กัน "ลงมือ" เป็น "ระบบ" ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ของไทยนั้น การพัฒนาด้วยยุทธศาสตณ์กองโจร เข้าตีตามความสะดวก กระจัดกระจาย ส่วนหนึ่งคือ เราไม่มีทีมประเทศไทย
C&D&I โมเดลกิมจิ สู่ส้มตำโมเดล
        C&D หรือ Copy and Develop (เลียนแบบและพัฒนา) และ I หรือ Innovative คือ พลิกแพลงให้ดีกว่าเดิม เพิ่มลักษณะหรือคุณสมบัติให้เข้ากันกับสภาพสังคม คือ "หัวใจ" ของบทความนี้  ไทยเราแต่โบราณนั้นมีความสามารถในด้านในเลียนแบบและประยุกต์เป็นทุนเดิม เป็น Gene หลักของไทย ซึ่งเคยเพียงพอ ทว่า ในยุคปัจจุบันนั้น "ไทย" จะต้อง Innovate ซึ่ง "เรา" ไม่ใช่ชาติที่มีพื้นฐานแก่งการสร้างนวตกรรมที่ใช้เทคโนโลยี หรือ ความรู้อย่างสูง ผมจะต้องชวนให้เรา "ยอมรับ" ประเด็นนี้เสียก่อน ทว่า เรามีความสามารถในการ Innovate กระบวนการ หรือรายละเอียด ซึ่งตรงนี้เป็น "จุดแข็ง" ของเรา  ในบทความชุด K-Experience EP นี้ ใช่ครับ ผมต้องการให้เรา ยึดเอา "เกาหลี" เป็นหนึ่งใน OPTION ในการเลือก COPY ความสำเร็จ และมา ปรับ เปลี่ยน เพิ่ม เสริม ให้เป็นแบบของเรา และเราจะต้องเลือก "ต้นแบบความสำเร็จ และบทเรียนที่ประเทศอื่นๆ ล้มเหลวมาแล้ว"  มา C&D&I 
         เกาหลีอาจไม่ใช่มหาอำนาจด้าน Startup และจริง ๆ แล้วเกาหลีเพิ่งเริ่มกระบวนการ Startup ในปี 2013 เท่านั้น เกาหลียังไม่ประสบความสำเร็จใน Startup หากเทียบกับเวทีโลก ทว่าสิ่งที่ต้อง C&D&I คือ วิธีการสร้าง Ecosystem, การทำงานประสานกันของเกาหลี ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดี อย่างไรก็ตาม นับถึงปัจจุบัน เกาหลีมี Unicorn ถึง 11 ตัว ในขณะที่ไทยนั้น ยังไม่เกิดเอมบริโอของม้านิลมังกรในเวที startup และ บทความนี้ก็เทียบไทยกับเกาหลี สิ่งที่ผู้เขียนแนะนำคือ "อะไรดีดีก็เก็บมา C&D&I อะไรไม่ดีก็โยนทิ้งไป" 
        ทบทวนความเข้าใจในสอง EP ก่อนหน้านี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ท่าน เข้าใจว่า "ความสำเร็จ" ของเกาหลีที่เราท่านเห็นในวันนี้ เกิดตจากหลายปัจจัย  เกาหลีเป็นชาติแห่งนวตกรรมและการประดิษฐ์ต่าง ๆ มีเทคโนโลยีเป็นของตัวเองมาตั้งแต่  5,000 ปีก่อน สำหรับสาย K-Drama นั้น ไม่ว่าจะเป็นโกรกูริยอ, ภัคเจ, ชิลา ในช่วงเวลาที่ท่านดูซีรีย์เกาหลี เช่น จูมอง, ซอนด๊อก หรือแม้กระทั่งแดจังกึม ผมได้พาท่านไปเห็นของสวยงาม ซึ่งแสดงถึงเทคโนโลยี และความชำนาญของสกุลช่างเกาหลีในสมัยนั้น ซึ่งผมเรียกมันว่า Innovative & Adaptive Gene หรือ ยีนแห่งการปรับตัวและการสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของเกาหลี ผสมรวมเข้ากับปัจจัยอื่น ๆ หรือ Gene ตัวอื่น ๆ 
      ผมได้นำประวัติศาสตร์ในสมัยต่าง ๆ ซึ่งเริ่มตั้งแต่ Hermit State ที่เกาหลีปิดตัวเองจากชาติอื่น ๆ สั่งสมความรุ่มรวยทางวัฒนธรรม เทคโนโลยี และมาถูก "บังคับ" เปิดสู่โลกจากการรุกรานของญี่ปุ่น ซึ่งระยะเวลานั้น กินเวลากว่า 1 ศตวรรษ ท่ามกลางความกดดัน ภาวะสงคราม บ้านเมืองถูกทำลายย่อยยับ ความเป็นอยู่แร้นแค้น ซึ่งเป็นการถือกำเนิดของ Patience Gene หรือ ยีนแห่งความอดทนอดกลั้น ที่จะเป็นแรงผลักดันในสมัยพัฒนาประเทศ ที่เริ่มตั้งแต่ 1950 เมื่อเกาหลีตั้งประเทศ และมีระบบการปกครอง และมาเริ่มจริงจังสมัย 1962 ในแผนพัฒนาห้าปี 7 ฉบับ รวม 35 ปี ที่พลิกพื้นเกาหลีจากประเทศที่ยากจนที่สุดในโลกประเทศหนึ่งเป็นประเทศที่มั่งคั่ง ได้รับการยอมรับเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ในนาม ปาฎิหาริย์แห่งแม่น้ำฮาน หรือ Miracle of Han River ซึ่งในช่วง 35 ปีแห่งการพัฒนา จนถึงปัจจุบัน สิ่งที่เห็นชัดเจน คือ National Dedication Gene หรือยีนแห่งการอุทิศตัวเองเพื่อการพัฒนาประเทศ 
        หากไม่มีส่วนผสมของ Gene ทั้ง 3 จากอดีต ร่วมกับ Gene ที่ถูกสร้างขึ้นจากระบบการศึกษาตั้งแต่ ศตวรรษที่ 1950 ซึ่งก็คือ Creativity and Value Deliverable Gene หรือ ยีนแห่งความคิดสร้างสรรค์และการส่งต่อคุณค่า นั้น ก็จะไม่มีเกาหลีที่ขึ้นแท่นเป็นประเทศที่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี มีเศรฐกิจที่มั่งคั้ง มี Per-Capita Income สูง และมีความกินดีอยู่ดีในภาพรวมที่เกาหลี เสนอออกมาซึ่งมาจากรากฐานของการสร้างสังคมอุดมนักประกอบการ และก้าวเข้าสู่การพัฒนา Startup ในฐานะที่เป็นผู้ประกอบการที่ใช้แนวคิดใหม่ในการทำตลาด มีรูปแบบการบริหารแบบ SME และมีการจัดการแบบ Enterprise ในเกาหลี
         ปรากฎการณ์เหล่านี้เป็น "ฐาน" เป็น "ทุน" ของเกาหลี ก่อนที่่จะเกิดเศรษฐกิจดิจิทัล หรือกลุ่มธุรกิจ StartUp และ จริง ๆ แล้ว ในประวัติศาสตร์หลังยุค Y2K นั้น แนวคิด StartUp ของเกาหลีก็ล้มเหลวเหมือนกัน เกาหลีก็ผ่านการทดลองผิดทดลองถูกเช่นกัน จนในรอบ 10 ปีหลังนี้ (2020 ถอยหลังกลับไป) เกาหลี หันมามายึดหลักของ Entrepreneurship ผสานกับ StartUp โดยเรียก Startup Business ที่หยั่งราก และอยู่รอดเป็น Entrepreneur 
         เหตุใดผมจึงต้อง "เน้น" ประเด็นเหล่านี้ เพราะว่า ในเนื้อหาช่วงต่อ ๆ ไปนั้น เราจะพบว่า Gene เหล่านี้ เป็นประโยชน์ และเป็น Gene ที่ไม่มีในประเทศไทย หรือ Gene ในการฉุดรั้งการพัฒนาประเทศของไทยนั้น Dominent (หรือเด่น) กว่า ทำให้เรายังไม่ประสบความสำเร็จ จนกว่า Dominent Gene ห่วย ๆ ของเราจะกลายพันธ์ไป
Picture
เกาหลีนำเอา surplus ในทางธุรกิจ ลงไปที่การพัฒนา 2 ด้านหลัก ด้านแรก คือการพัฒนาคนและการศึกษา ด้านที่สองคือ การส่งเสริม R&D ในประเทศ ซึ่งระยะแรกนั้น ทำในกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ร่วมกับสถาบันการศึกษา หลังจากที่อัตราการเข้าสู่การศึกษาระดับอุดมศึกษา และทำให้เกิดนักวิจัยที่ Commercialize ได้ (แตกต่างจากทไทยที่วิจัยทิ้งขว้าง ไม่สามารถ Commercialize ได้ ซึ่งเป็นความสูญเปล่า) โดยหลังจากปี 1996 นั้น เกาหลีเป็นมหาอำนาจด้าน R&D ของโลก และผลของการพัฒนา R&D นั้น ผลลัพท์เห็นเป็นรูปธรรมในปัจจุบัน
เกิดอะไรขึ้นในช่วงกึ่งก่อนยุค K-Startup และ K-Entrepreneur 
       หลังจากสิ้นสุดแผนพัฒนา(เศรษฐกิจและสังคม) ฉบับที่ 7  เมื่อปี  1996 เกาหลีนั้นมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ขึ้น มีความมั่นคงด้านการเงินการคลังของประเทศมากขึ้น ทว่าในยุคสมัยนั้น ยังไม่ได้เกิดสิ่งที่เรียกว่าแนวคิด startup จนกว่าจะราวปี 2010 เป็นต้นมาในเอเซีย เมื่อโลกได้เกิดการวิวัฒน์ด้านเทคโนโลยี และแนวคิดแบบโตไว โตทันใจ  ทว่าเมื่อสังคมใด ๆ มี "ทรัพยากร" พรั่งพร้อมแล้ว ย่อมเติบโตได้ไม่ยากในเวลาอันรวดเร็ว
       คนมักเทียบเคียงและเชื่อว่า Startup นั้น คือ การเกิดขึ้นของ Tech-Business ในความหมายเมื่อครั้งเริ่มต้น หรือก็คือ ธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีด้านอิเล็คทรอนิก ซึ่งย้อนไปได้ตั้งแต่ คริสตวรรรษที่ 1970 ในยุคของการเกิดขึ้นของ Silicon Valley ในสหรัฐอเมริกา และความหมายนี้ ยังคงยึดโยงมาจนถึงปัจจุบัน ที่มักให้คำนิยามว่า ธุรกิจที่เกิดมาแบบ Solo Entrepreneur ขยายเติบโต (Scale up) ได้รวดเร็ว ใช้เทคโนโลยีเป็นผลิตภัณฑ์หลัก ยุคเริ่มต้นนี้มักเกี่ยวพันกับตำนานของคน เช่น เดฟ ฮิวเลลต์  จอห์นแพ็คการ์ด, บิลเกตต์ แห่งไมโครซอฟต์ ในระยะต่อมา จนกระทั่งความหมายของมันถูกเพิ่มเติมเมื่อมีผู้สำเร็จในธุรกิจรายใหม่ ๆ ด้วยแนวคิดใด ๆ เมื่อถึงสมัยของ Steve Job แห่ง Apple ที่เน้นการผลิตสินค้าบนแนวคิดที่แตกต่างจากวิธีคิดแบบเดิม หรือการเกิดขึ้นของ New Business ในยุคที่โลกและเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตมีประสิทธิภาพ และราคาเข้าถึงได้ ธุรกิจที่เป็น platform บนโลกอินเทอร์เนตเกิด  Business Model ที่แตกต่างจากเดิม เช่น การเกิดขึ้นของ Facebook, Amazon, Alibaba, Twitter, Uber, AirBnb ฯลฯ ซึ่งเติมเต็มนิยามของ Startup ให้เป็น่นที่เราท่านเข้าใจ คือ Tech-Startup ตราบจนกระทั่ง เทคโนโลนีเข้าไปผสานรวมตัวกับอุตสาหกรรมเดิม ๆ เช่น Fin-Tech, Health Teach, Agricultral-Tech, Edu-Tech เราเรียกยุคนี้ว่า dot com business ซึ่งเริ่มต้นในปี 2000 เป็นต้นมา และขยายอาณาเขตข้ามทวีปมายังเอเซีย รวมไปถึงดึงเม็ดเงินมหาศาลไปจากเอเซีย และทำให้เอเซียต้องเคลื่อนไหวพัฒนา dot com business ของตัวเอง และเกาหลีก็พร้อมทันที (เช่นเดียวกับ จีน, ไต้หวัน, สิงคโปร์) ส่วนอีกกลุ่มคือ สายที่ไม่พร้อมหรอก แต่ต้องกระโจนลงไป เช่น ไทย
       Startup ได้นำกระบวนการเดิม มาสร้าง Process Innovation คือ ลดทอน ตัดเติม แต่งแต้ม พร้อมทั้งสร้างมาตรฐานใหม่ ๆ ให้กับโลกธุรกิจ ซึ่งล่วนแล้วมีรากฐานมาจาก "วิธีการ" "แนวคิด" ของเดิม (ทั้งนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน) อาทิ ปรับการบวนการให้สั้นกระชับ เพราะว่า เปลี่ยน Measurement ให้ใจกว้างมากขึ้น 
แนวคิดและวิธีการอย่าง Startup นี้ ผสมผสาน รวม (Integrated) หลายเรื่องเข้าด้วยกัน ซึงไม่ใช่จารีตประเพณีของธุรกิจเดิม ที่แยกส่วนกัน (จากการพัฒนาศาสตร์ใด  ๆ ให้ลึก In-depth และแยกส่วนความรู้ Silo-base learning ที่ทำซ้ำกันมาหลายร้อยปี) ตัวอย่างแนวคิด และวิธีการรุ่นใหม่ ที่ควรต้องเช้าใจที่มา ปรับกับความคลาสสิคของวิธีการเดิม เช่น (ย้ำอีกรอบว่าเป็นเพียงความเห็นของผู้เขียน มิเช่นนั้น สายคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยรู้รากเหง้าของสรรพวิชา จะมาแหกอกผู้เขียนได้) 
  • Agile & Sprint ที่เกิดจากข้อจำกัดของการพัฒนา Software ในช่วง  1990 เป็นต้นมา ผสมกับหลักของ Project Management ผสมความคิดเรื่อง Marketing และใส่แนวคิดเรื่อง Human Capital Management ที่ถูกปรับเข้ากับช่วงวัยของผู้ใช้งาน และ Time-To-Market ที่ต้องไว้กว่าคูแข่  เข้าไปรวม ๆ กัน พูดง่าย ๆ ว่า 
  • การเกิดขึ้นของวงจร Lean Startup (Build Measure Learn)  ซึงเป็นลูกผสมของความคลาสสิคแบบ Deming Cycle, Performanace Management เป็นต้น 
  • MVP; Minimal Variable Products ซึ่งวางบนหลักการของการนำส่งสินค่า ผลิตภัณฑ์ มี Feature เหมาะสมกับกลุ่มผู้ใช้งาน และมีต้นทุนที่ทำให้ผู้ผลิตและผู้ซื้อนำ Demand และ Supply มาเจอกันได้
 
      ช่วง 1996 - 2000 ก่อนการเกิดขึ้นของปรากฎการณ์ Startup ที่อาจจะเรียกได้ว่า แนวคิดเรื่องการทำธุรกิจ ค่อย ๆ ทยอยเปลี่ยนไปตามลำดับ จากหลายปัจจัย ที่เกิดขึ้น หากจะว่าด้วยการวิเคราะห์สาย Classic เช่น PESTLE (ซึ่งบางคนค่อนขอดว่าล้าสมัย สู้แนวคิดแบบใหม่ไม่ได้ สำหรับผู้เขียนนั้น เปิดรับ "เครื่องมือ" ที่หลากหลาย เพราะแต่ละเครื่องมือสร้างมาด้วยเป้าหมายเฉพาะ และไม่สนับสนุนการ "ดูถูกดูแคลน" ความรู้ใด ๆ) เช่น T+P หรือ TechnoPolitic ได้เปลี่ยนไป ตั้งแต่ จีนเปิดประเทศ เกาหลีตั้งหลักมั่นในการส่งออก Semi Condcutor ทำให้ "ภูมิเทคโนโลยีสารสนเทศ" ของโลกเปลี่ยนแปลงไป และต้องไม่ลืมว่า เมื่อ E; Economy of Scale มีผลต่อ Margin Knowledge และ Know-How ต่าง ๆ ก็หลั่งไหล เกิดเป็นการสั่งสมความรู้ การประยุกต์ การเลียนแบบและการพัฒนา เทคโลโลยีภิวัตน์ Technolozation ก็ทำให้เอเซีย เปลี่ยนจากผู้บริโภคเทคโนโลยี เป็นผู้ผลิตเทคโนโลยีเสียเอง  ผู้เล่นด้านเทคโนโลยีที่มีอยู่เดิม เช่น ไต้หวัน และญี่ปุ่น ก็ต้องปรับตัว กลายเป็นความตื่นตูม (ตื่นเทคโนโลยี เลียนแบบการสมัยของการตื่นทอง) ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง  
  • 1996 เกาหลีจัดตั้งหน่วยงานที่เรียกว่า SMBA ซึ่งเข้ามาเริ่มดูแลกิจการ SME อย่างเป็นรูปธรรม (ซึ่งหน่วยงานนี้จะเติบโตไปเป็น Ministry of SMEs and Stratups ในปี 2017) หลังจากที่บริษัทขนาดใหญ่ของเกาหลีมีความมั่นคง และเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจเกาหลีแล้ว พร้อมด้วยฐานกำลังในการเติบโตด้าน RnD (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.mss.go.kr/site/eng/01/20105000000002019110657.jsp# )
  • 1997 คือปีที่ Huawei สยายปีกด้วยการนำส่งเทคโนโลยีด้านการสื่อสารออกมาในตลาดโลก (หลังจากก่อนเมื่อ 1987)  และในปัจจุบันถือครองเทคโนโลยี 5G ซึ่งต้นทุนถูกกว่าคู่แข่งจากสหรัฐอเมริกา และยุโรป (เช่น Cisco, Nortel, Ericsson)
  • 1999 คือปีที่ Alibaba ก่อตั้งขึ้น และเข้าสู่วงการ dot com market ที่มีอิทธิพลระดับโลกในปี 2003 มีมูลค่า และส่วนแบ่งการตลาดใน e-market place ระดับรอง เมื่อเทียบกับคู่แข่ง (เช่น ebay, amazon)
  • ในช่วงนี้ Brand ด้านเทคโนโลยีในเอเซียเกิดขึ้นมากมาย จากการพัฒนาด้าน R&D หรือจะเกิดจาก C&D ก็ไม่ผิด ซึ่งจะเป็นฐานให้ธุรกิจดทคโนโลยีในเอเซียแข็งแกร่งขึ้น เช่น HTC ของไต้หวัน  ในเกาหลีเอา Samsung และ LG ซึ่งมีฐานจากการผลิตสินค้าอิเล็คทรอนิกส์ก้าวเข้าสู่การเป็นผู้นำในการผลิคสินค้าเทคโนโลยี ป้อนสู่ตลาดโลก โดยเริ่มจากการผลิตชิ้นส่วน เช่น RAM (หน่วยความจำ), จอประเภทต่าง ๆ ซึ่งในช่วงปี 2000-2010 นั้น Samsung พัฒนาการผลิตจนขึ้นเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก 

      ในปี 2008 เป็นอีกจุดสำคัญ เมื่อเกิดวิกฤตการเงิน วิกฤตซับไพร์มขึ้น ในสหรัฐอเมริกาละยุโรป ท่ามกลางวิกฤตนี้ เอเซียที่มีการสะสมทรัพยากรไว้มากมาย ได้ถือโอกาสในการเข้าซื้อหุ้น รวมไปถึงเป็นเข้าควบรวมกิจการต่าง ๆ เช่น Lenovo สัญชาติจีนนั้น ได้ซื้อ Business Unit จาก IBM ในส่วนของ PC และ Notebook ซึ่งฐานการผลิตเกือบทั้งหมดอยู่ในจีนแล้วในขณะนั้น เป็นต้น
  • 2012 Operation of Meister High Schools ที่มุ่งเน้นการพัฒนา "คน" ที่จะเป็น "ฐาน" และ "ทุน" ในการพัฒณาด้านเทคโนโลยีลงไปในระดับมัธยมศึกศ และอาชีวะศึกษา (อ่านเพิ่มเติมที่ The Future of Vocational Education and Training in a Changing World และ High School Vocational Education Advancement Measure)
  • 2013 Samsung ก้าวขึ้นเป็นผู้ที่มีส่วนแบ่งการตลาดใน Smart Phone สำเร็จ (รวมไปถึง smart phone จากค่ายต่าง ๆ ในเอเซีย) ทำให้ทั่วโลกการเข้าถึงเทคโนโลยีได้ในราคาที่ถูกลง และการเติบโตขึ้นของตลาด Mobile device  และในช่วงปี  2013 นี้เอง เกิดหน่วยงานที่เป็นแกนหลักสำคัญในการพัฒนา startup ของเกาหลีด้วย ซึ่งจะกล่าวในรายละเอียดต่อไป 
Picture
        ในช่วงหลังปี  2008 เป็นต้นมา เมื่อกระแสของธุรกิจเกิดใหม่ ที่เรียกว่า "Startup" พัดโหมจากโลกตะวันตก มายังโลกตะวันออก พร้อมด้วยความสำเร็จที่เป็นตัวอย่าง ในขณะนั้นประเทศต่าง ๆ เริ่มพูดถึงรูปแบบของการทำธุรกิจในยุคดิจิทัล (ซึ่งการเติบโตของ Internet, 4G, AI, Big Data, E-Commerce เกิดขึ้นเป็นกระแสต่อเนื่อง) เกาหลีเป็นประเทศแรก ๆ ในเอเซียที่กระโจนเข้าสู่กระแสธารของ Startup หลังจากศึกษา วางแผนการพัฒนาธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมให้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 1996 และเกาหลีก็พร้อมที่จะเดินหน้าใน Startup อย่างจริงจัง โดยอาศัยฐานจากการศึกษาที่ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และภาคธุรกิจเป็นพี่เลี้ยงทำงานร่วมกันอย่างเป็นกระบวนการ (ซึ่งจุดนี้เป็นจุดที่ไทยแตตกต่างจากเกาหลี) และยังรวมไปถึง เกาหลีใช้ Dedication, Deliverable จากคนรุ่น ปลาย BB และ ต้น Gen-X อย่างเต็มกำลัง และได้รับความร่วมมือจากกำลังแห่งยีนนี้ไปทุกภาคส่วนเสียด้วย (ซึ่งจุดนี้ก็แตกต่างจากไทย เพราะว่าไทยไม่มียีนตัวนี้ที่แข็งแกร่งพอ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่า เราไม่มี Patience Gene จาประวัติศาสตร์และความทารุณแบบเกาหลี เรามีแต่ ยีนแห่งความแตกแยก ยีนแห่งการเล่นพรรคพวก) ผมแนะนำให้ท่านไปดูภาพประธานหลักในตอนต้นของบทความนี้ประกอบ เกาหลีรวมทุกเฟืองที่สัมพันธ์กันใน Vision หลัก และให้กำเนิด Misssion ของหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อบรรลุเป้าหมาย ่ค่อยๆ สร้างส่วนประกอบที่รวมกันเป็นนิเวศน์แห่งการเติบโตอย่างชัดเจน   
Picture
Source : Recognization & Processing of national business survey (National Statistics Office, 2014)
2013 ปีที่เกาหลี Kickoff ประมวลวิถี Startup และ Entrepreneur
​      ในปี 2013 และหลังจากนั้น เกิดหน่วยงานที่ขึ้นมาสนับสนุนเศรษฐกิจดิจิทัลในเกาหลี ภายใต้หลายหน่วยงาน เช่น กระทรวงศึกษาธิการ (MOE) จะเป็นฐานของการพัฒนาคน และบุคคลากรทางการศึกษา กำหนดนโยบายการศึกษาให้สอดคล้องกับ Policy ของกระทรวงหลักอื่น ๆ , กระทรวงวิทยาศาสตร์และการสารสนเทศ (MSIT; Ministry of Science and ICT) กำหนดนโบบายในการพัฒนาประเทศด้วยเทคโนโลยี, กระทรวงเพื่อวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และวิสาหกิจ starup (MSS; Ministry of SMEs and StartUps) ทำหน้าที่พัฒนาผู้ประกอบการ  ทั้ง 3 กระทรวงหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่นั้น ทำงานประสานกันอย่างเป็นระบบ มีหน่วยงานที่เรียกว่า Agency มากมาย Agency ต่าง ๆ นั้นทำงานร่วมกันในระหว่างหน่วยงานของรัฐกันเอง และ หน่วยงานเอกชนต่าง ๆ ​แบ่ง Segment และ ความรับผิดชอบตาม ระยะการ Incubate Startup ฺBusiness และ Entrepreneur  (เรื่องแบบนี้ให้เลียนแบบ)
ตัวอย่างของ Mission ของกระทรรวงเพื่อการพัฒนาวิสาหกิจ MSS ของเกาหลี (ซึ่งมีการประมาณการเป้าหมายชัดเจนในแต่ละกลุ่มที่จะส่งเสริม ดั่งภาพด้านบน และมีการสร้าง Agency เพื่อดูแลในแต่ละกลุ่ม)
  • Promoting Business Growth We recognize that growth of Enterprises is directly related to national economy's growth. Thus, MSS implements various policies aimed at promoting the growth of Enterprises at all stages of development - from start-ups to SMEs, from SMEs to global enterprises or Hidden Champions.
  • Fostering Business Start-ups Technology and knowledge-based start-ups can bring innovation and energy to the entire business ecosystem. For this purpose, MSS strives to foster new ideas to turn into new businesses. Furthermore, MSS also creates a smooth business-funding cycle, which facilitates investment, collection and reinvestment.
  • Supporting Micro Enterprises In order to strengthen competitiveness of micro enterprises which work as an important foundation of domestic economy, MSS takes policy measures that enable successful start-up, adoption of cooperation models, healthy growth, and successful turnaround.

ตัวอย่างนโยบายของ MSIT (Ministry of Science and ICT) ของเกาหลี  คลิกที่นี่ 

หนึ่งในนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการเกาหลี (MOE) ที่เกี่ยวข้องกับนโยบายสร้าง Startup และ Entrepreneur
  • Support for University Students' Start-ups and Employment In recent years, diverse programs that support start-ups of university students have been on the rise since a high unemployment rate of young adults/youth became an serious issue. Therefore, the Ministry of Education plans to develop and implement a customized curriculum through the collaboration of universities and industrial sectors and extend the number of students in "majors geared toward social demand" that helps graduated students to find jobs for 15,000 students by 2017. Moreover, outstanding start-up clubs will be supported to launch a company. 
Picture
4 stages of developing Startup & Entrepreneur in MonsoonSIM Thailand perspective
Picture
รูปจาก https://www.bot.or.th/Thai/BOTMagazine/Pages/256205_GlobalTrend.aspx
Picture
Korea Startup Guide https://www.austrade.gov.au/ArticleDocuments/4581/Korean_startup_guide.pdf.aspx
Korea Startup EcoSystem  (เอกสารอ่านเพิ่มเติม)
       การสร้าง และการประสาน Startup Ecosystem นั้นมีความน่าสนใจ (และเป็นแนวทางที่ควรคัดลอก และพยายามสร้างให้เกิดในประเทศไทย) ในมุมมองนี้ขอนำเสนอด้วย 4 stages ของการสร้าง และพัฒนา Startup และผู้ประกอบการโดยใช้ Methodology ของ MonsoonSIM Thailand

Seeding เพาะเมล็ดพันธ์ุ ​
​     
เกาหลีโดดเด่นมากในการเพาะเมล็ดพันธ์ หน่วยงานด้านการศึกษา, สถาบันการศึกษา เกาหลีมีหน่วยงานที่ส่งเสริม Startup มากมาย และเริ่มปฏิรูปการศึกษาเพื่อผลิต "ทุนมนุษย์" ตั้งแต่การศึกษาในระดับมัธยมศึกษา เกาหลีมี Co-Working space และ Incubating Center หรือผมขอเรียกว่า "เรือนเพาะชำ" ทั้งในส่วนของรัฐ, เอกชน, รัฐร่วมมือกับเอกชน คุณจะพบว่ามี Co-Working Space พร้อมบริการในส่วนอื่น ๆ อยู่ใน Eco-system ของเกาหลี  (ผมขอเรียกว่า เอมบริโอ และไซโกทของม้าแกลบ)

Grounding ลงตลาดให้หยั่งราก
     เมื่อได้ "ต้นกล้า" ด้าน Startup แล้ว เกาหลีมีกระบวนการ "อนุบาล" เหล่า startup เพื่อให้หยัั่งรากได้ และเกาหลีมีกระบวนการที่จะเลี้ยงดูต้นกล้าเหล่านี้จาก "ผู้อภิบาล" ซึ่งจากตัวอย่างที่เห็น ผู้อภิบาลเหล่านี้ประจำการ ณ  "เรือนเพาะชำ" เสียด้วย ตัวอย่างเช่น K-ICT ที่ผู้เขียนได้มีโอกาสไปเยือน และ
"สะดุด" กับ "วิธีการ" จึงเป็นที่มาของการศึกษาเรื่อง Dedication and Devliverble Gene .ในบทความที่แล้วและพบว่า เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญ ที่อนาคต startup ของเกาหลี กำลังจะแบ่งบาน หลังจากทัพแรกที่มั่นคงนำโดยกลุ่มอุตสาหกรรมและบริษัทยักษ์ใหญ่ของเกาหลีไปก่อนหน้านี้แล้ว (ลูกม้าแกลบ)

      สองกระบวนการนี้ เกี่ยวข้องกับ Incubator และ Accelerator ซึ่งเกาหลีมีหน่วยงานที่ "ลงทะเบียน" มีเป้าหมาย มีการสนับสนุนชัดเจนจากทั้ง รัฐบาล และภาคธุรกิจ และส่งต่อไปยัง กระบวนการถัดไปจนครบ บางหน่วยงานของเกาหลีทำหน้าที่ ในส่วนของ Seeding และ Grounding บางหน่วยงาน และส่งต่อไปยัง Growing และ Expanding บางส่วนทำหน้าที่คล่อมครอลคลุมไปยัง Growing ด้วยตัวเอง หรือประสานกับหน่วยงานอื่น ๆ 


ฺGrowing ดูแลบำรุงให้เติบใหญ่
     เมื่อ startup หยั่งรากแข็งแรงแล้ว เกิด Prototype ที่ผ่านกระบวนการต่าง ๆ (เช่น Design Thinking, Startup Way) จนมั่นใจได้ว่า จะสามารถสร้างเป็นผลิตภัณฑ์และบริการ ในเชิง Commercial ได้จริง และจะสามารถ Scale UP ได้ ก็ถึงกระบวนการที่จะส่งมอบ "ม้าแกลบ" ให้เป็น "ม้าแกร่ง" ต่อไป ตั้งแต่ขั้นตอน Grounding นั้น จะเริ่มมี VC; Venture Capital และ Angels เข้ามาร่วม เป็น "แมวมองและนางฟ้าเพื่อพัฒนาม้าแกลบให้เป็นม้าแกร่ง" และบางครั้งแยกไปบำรุงบำเรอให้เติบโตในแบบของตัวเอง

Expanding ใส่ปุ๋ยเร่งให้โต
​การใส่ปุ๋ยเร่งให้โตของเกาหลี มี 2 ลักษณะ ได้แก่
  • ให้ม้าแกร่ง ใส่ปีกเติมเขาเป็น Unicorn และ
  • ให้เพิ่มจำนวนม้าแกร่ง และ Unicorn ให้เพิ่มขึ้น 
​     ทั้งสองวิธีนั้น ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานของภาครัฐ ออกเป็นกฎระเบียบ และกฎหมายเฉพาะทาง เพื่อพัฒนา Startup ดูเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Korean Government Agency ได้ที่  
https://seoulz.com/korean-government-agencies-that-support-startups/
Picture
ประสบการณ์ และเรื่องบอกเล่าจากการเยี่ยมชม 2 หน่วยงานด้าน Startup ของเกาหลี และ 1 Unicorn
      ผู้เขียนได้รับประสบการณ์จากการเดินทางในเกาหลี และมีโอกาสเยี่ยมชมหลายหน่วยงานของเกาหลี ซึ่ง 3 หน่วยงานนั้น ประกอบด้วย ตัวอย่งาที่ดีที่ควรนะจต้องเข้าใจ และนำมา "ปรับ" ใช้กับ Startup และ Entreperneur ของไทย ทั้ง 3 หน่วยงานนั้น ได้แก่ K-ICT, TIPS  ซึ่งเป็น Governmen Agency และ Yanolja 1 ใน 10 Korean Unicorn  
Picture
https://www.born2global.com/
K-ICT 
  • ท่านสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.born2global.com/userborn2globalcenter.do 
  • เพื่อรายละเอียดที่มากขึ้น และมองเห็นภาพชัดขึ้น โปรด Download Presskit ของ K-ICT Born2GLobal และ Brochure ของ K-ICT
  • เอกสาร Scan จากต้นฉบับ K-ICT Mentoring Centre
     หน่วยงาน K-ICT เริ่มขึ้นในปี 2013  เป็นหน่วนงานของกระทรวง MSIT (Ministry of Science and ICT) ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้าง Tech-Entrepreneur หรือ Tech-Startup ของเกาหลี ซึ่งมีความน่าสนใจ คือ 
Picture
Picture
Picture
Picture
  • แนวคิดการสร้างผู้ประกอบการ ICT ของกาหลี ไปยังตลาดโลก เมื่อท่านเดินเข้าไปในออฟฟิศของ K-ICT ซึ่งถูกสร้างรวมกันเป็น Complex ในพื้นที่หนึ่ง  ๆ ท่านจะสังเกตุเห็น นโยบาย "Born2Global" ซึ่งเป็น Vision ที่กำหนดพันธกิจหลักอย่างชัดเจน 
  • กระบวนการในการให้คำแนะนำ ที่ "รอบด้านครบวงจร" เช่น ด้านการลงทุน, ด้านกฎหมาย และสิทธิบัตร, ด้านบัญชี, ด้านการทำตลาดในระดับโลก, ด้านวีซ่า และแรงงานเมื่อจะต้องไปทำธุรกิจในต่างประเทศ เป็นต้น ซึ่ง "สิ่งเหล่านี้" ไม่มีในโครงการ Startup ของไทย 
ผมมีคำถามไปยังผู้อำนวยการศูนย์ที่ได้มีโอกาสเข้าพบ จึงได้พบเรื่องที่น่าสนใจในโครงการ Incubating ของ K-ICT นั่น คือ ที่มาของ Mentor ของโครงการ ซึ่ง K-ICT จะคัดเลือกจากผู้สมัครส่วนหนึ่ง และส่งเทียบเชิญไปยังผู้เชียวชาญในสาขาต่าง ๆ จากหน่วยงานของเกาหลี ซึ่งคัเลือกจากประสบการณ์ และความสำเร็จในด้านการทำงาน เช่น การค้นคว้า วิจัย จนนำไปสู่สินค้า Commercial ได้ และผู้เชียวชาญที่มาเป็น Mentor นั้น เกิดจากความสมัครใจ และมี Business Model ร่วมกัน กับทีม Startup  และสิ่งที่น่าสนใจ คือ กระบวนการของ Montor นั้น ใช้ระยะเวลายาวนาน และ 1 ท่านผู้เชี่ยวชาญจะสามารถ Incubate Startup ได้เพียง 4 รายเท่านั้น จนกว่า Startup จะก้าวเข้าสู่กระบวนการประกอบการได้  

Picture
TIPS KOREA
     TIPS เป็นหน่วยงานที่เกิดขึ้น ในราวปี 2013 เป็นอีกหนึ่ง Government Agency ที่เชื่อมโยง Tech Startup เข้ากับ TIPS Partner (Investor) ซึ่งทำหน้าที่เป็นแหล่งทุนของ Startup และ Government ที่ร่วมลงทุนให้เกิด Startup Entrepreneur โดยจะให้ทุนในการทำ RnD 10%  เพื่อให้เกิดการพัฒนาในเกาหลี โดย TIPS ทำหน้าที่เป็นผู้ Verified Startup, Angels Investment เพื่อสร้างมาตรฐานที่ดีในการสร้าง K-Startup โดย TIPS ให้บริการตั้งแต่ Co-Working Space, Mentoring, Training และ Consultative Services โดยเมื่อ Startup ที่ผ่านโครงการของ TIPS นั้น จะต้องจ่าย 10% คืนกลับมาเพื่อสร้าง Startup รายต่อไป เมื่อสามารถประกอบการสำเร็จ

รูปแบบการสนับสนุนของ TIPS ผ่านโครงการ  2-3 ปี
Picture
 ในอาณาบริเวณของ TIPS ที่ เรียกว่า TIPS TOWN ในปัจจุบัน ประกอบด้วย 
Picture
ตั้งแต่ปี 2013 TIPS มีผลงานดังนี้ 
Picture
Picture
Picture
กระบวนการของ TIPS โปรดดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ http://www.jointips.or.kr/support_en.php
  1. Tech Startup Application · Submission
  2. Investment Appraisal
  3. Tech Startup Recommendation & Referral
  4. Assessment of Recommended/ Referred Startups
  5. Program Implementation
  6. Completion and Follow-Up Investment

สถิติที่น่าสนใจที่ได้รับฟังจากการเยี่ยมชม TIPS คือ
  • 50% ของ Startup Fail ใน 5 ปี และ 70% ของ Startup Fail ใน 10 ปี เนื่องจากทุนหมด และไม่สามารถที่จะพัฒนา Solution ต่อได้ ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยนในระดับโลก
  • ในเกาหลี 72% Fail ใน 5 ปี ซึ่งเป็นยุคก่อนปี 2013 (และไปตรงกับช่วงที่เรียกว่า Ventur Bubbling Crisis .นช่วงปี 2005 และเป็นเหตุให้เกิด TIPS Program ขึ้น ในปี 2013)
  • Startup ที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่นั้น มีการศึกษาในระดับปริญญาโท (Master Degree)  ส่วนตัวเลขจอง Startup ที่ล้มเหลวมากที่สุด คือ  Startup ในรั้วมหาวิทยาลัย ที่เกาหลีเรียกว่า Prep-Entrepreneur 
  • อายุเฉลี่ยของ Startup ที่ประสบความสำเร็จในเกาหลีอยู่ที (เมื่อผ่าน Training Program ของ TIPS) อาจมีความคลาดเคลื่อน เนื่องจากเป็นข้อมูลที่จดจากช่วง Q&A 
    • อายุ 50-60 ปี ประมาณ 20%
    • อายุ 40-49 ปี ประมาณ 30%
    • อายุ 30-39 ปี ประมาณ 30% 
    • อายุ 20-29 ปี ประมาณ 20%
สิ่งที่ควร C&D&I จาก TIPS และกระบวนการของ TIPS นั้นได้แก่
  • การมองปัญหาจาก Failure และหาทางแก้ไขปัญหา
  • โมเดลที่ Agency ประเมิน Stakeholders เพื่อช่วยให้ทั้ง 3 ฝ่ายบรรลุเป้าหมาย ได้แก่ Startup ได้เงินลุงทุน ได้รับความช่วยเหลือทั้งในด้านของ ความรู้ และ Incubationg Program, Angel ได้ลงทุน และได้ Startup ที่มี Potential สูง, รัฐบาลได้ Tech Entrepreneur ซึ่งจะสร้างเม็ดเงินมหาศาล และยังสามารถลงทุนได้โดยมี Loss ที่น้อยลง 

Picture
YANOLJA
  • Official Website: https://yanolja.in/en/companyinfo_en/
  • Company Introduction: https://yanolja.in/wp-content/uploads/2020/04/Yanolja-Company-Introduction_EN_vF.pdf << แนะนำเหล่า Startup ให้โหลดและศึกษา วิธีการวาง Vision Mission
  • ​แบ่งปันประสบการณ์จาก Yanolja ของ วศ.สิริพงศ์ จึงถาวรรณ์ ผู้ร่วมเดินทาง
Picture
     Yanolja (ยา-โนล-จา) เป็น Trevel Tech ระดับ (Super Duper) Unicorn ของเกาหลี  ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2005 เป็น Startup ที่มีโซลูชั่นเริ่มแรกเป็นระบบจองห้องพัก และขยายธุรกิจมาเป็นให้บริการระบบบริหารโรงแรม และเพิ่มเป็นการออกแบบ เปลี่ยนให้อาคารเก่า หรือ แผนการสร้างและตกแต่งโรงแรม, พัฒนาระบบ IT และบริการเชิง Digital กับโรงแรม และ ขยายไปถึง ให้บริการช่วยทำตลาด, การจัดการ Amenity ในห้องพัก ครอบคลุมจนครบวงจร 
     Yanolja มี Academy ของตัวเอง เพื่อที่จะอบรมบุคลากรด้าน Hotel Hospitality Service เป็น Tech Entrepreneur ที่ให้บริการvย่างครบวงจร สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจธุรกิจโรงแรม ทว่าไม่ได้มี Business Model เช่นปัจจุบันมาแต่เริ่มแรก อาศัยการเรียนรู้ ลองผิดลองถูก และเพิ่มส่วนต่อขยายทางธุรกิจออกไป รวมไปถึงการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ สร้างโอกาสให้กับตนเอง และขยายไปจนครอบคลุมช่วงหนึ่งของโซ่อุปทาน ผู้เขียนแนะนำให้โหลด Slide Introduction ที่ได้ post ลิ้งก์ไว้ให้แล้วที่หัวข้อเรื่องนี้ประกอบ เพื่อที่ท่านจะได้เข้าใจ Yanolja มากขึ้น
Picture
สิ่งที่น่าสนใจที่ไทย ควร C&D&I จาก Korean Startup 
  • เกาหลีสร้าง "วัฎจักร" ใน "Ecosystem" ของการเกิดขึ้น อยู่รอด เติบโต และ "ยั่งยืน" โดย วัฎจักรนี้ ทำต่อเนื่องทั้งในระดับหน่วยงาน และระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ กัน เพื่อส่งออกไปยัง Global Economy สำหรับประเทศไทยนั้น แต่ละหน่วยงานไม่เชื่อมโยงถึงกัน ไม่มีตัวกลาง ในส่วนราชการเห็นเป็น Event เมื่อถ่ายภาพเสร็จก็จบกันไปได้ใช้งยประมาณ ในส่วนภาคเอกชน ก็เริ่มโครงการเหล่านี้ด้วยเจตนาที่จะ M&A หรือ Merging and Acqusitiion ในภายหลัง ไม่ได้คิดว่าจะส่งเสริมให้เกิดอย่างจริงจัง เมื่อไม่เกิด ROI ก็ยกเลิกกันไป
  • ในขั้นตอนแรกสุด มีการเตรียมการเพาะเมล็ดพันธ์ ที่สมบูรณ์จากการปฏิรูปการศึกษา ปรับกระบวนการเรียนการสอน หลักสูตร การ reskills upskills บุคคลากรด้านการศึกษา เพื่อสร้าง "คน" ให้เป็น "ทุน" ในการพัฒนา  ในประเทศไทยนั้น ไม่มีกระบวนการ Retire Education Service (ให้แย่กว่านั้น ไม่คิดว่า Education as a Services ด้วยซ้ำไป) ไม่มองเห็นผู้เรียน ครอบครัว สังคม องค์กรเป็น "ลูกค้า" เพราะว่าไม่ได้ผังว่าลูกค้าต้องการอะไร เพียงแต่ จะต้องเชื่อมั่นในสิ่งที่เขาผลิต และเลวร้ายยิ่งนัก คือ การไม่ Unlearn Relearn ไม่ Upskills Reskill บุคคลากรทางการศึกษาเลย และ ที่แย่ที่สุด คือ กระทรวงทั้ง 2 กระทรวง ไม่มีโครงการแบบนี้จริงจัง การออกคูปองให้บุคคลากรไปเลือกเรียน ก็เป็นการลูบหน้าปะจมูก คนทีมาขายคอร์สและขายคลาส ก็ไม่ได้มีมาตรฐาน เป็นแบบนี้จนลุกลามเป็นมะเร็งในสังคมไทย นี่คือตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริง 
  • เกาหลีมี "คน" หลายรุ่น ร่วมในกระบวนการ "สร้างคน" โดยตัวอย่างที่เห็นชัดเจน คือ กระบวนการ Mentor ของ K-ICT และ TIPS ที่ คนรุ่น Gen ฺฺBB X  และผู้เชี่ยวชาญกระโจนเข้ามาสู่กระบยวนการ Incubator อย่างจริงจัง  ในเมืองไทยนั้น นับตัวได้ หรือ เรียกให้ถูกต้องคือ นับตัวแทบไม่ได้ ที่จะมีคนที่มีความเชี่ยวชาญลงแรง ลงเวลา เพื่อ "อุทิศ" ตัวต่อกระบวนการสร้างคนนี้ ส่วนมาก มีชื่อมาเอี่ยวในโครงการเบื้องต้น มาพูด 1-2 ชั่วโมง ไม่แม้แต่จะเอาใจใส่ในกระวนการ Mentoring ด้วยซ้ำ 
  • เกาหลีมี "องค์กร" ที่ทำงานร่วมกันเป็น "ระบบ" เพื่อเป้าหมายเดียวกัน  มีเป้าหมายชัดเจน คือ การ Go Global เมื่อ Vision รวมของชาติร่วมกันชัดเจน (ซึ่งไทยไม่มี) ทำให้ Mission ของแต่ละฝ่าย ทำให้เป้นไปตาม Mission นั้น เป็น "กระบวนการ" เป็น "รูปธรรม" มีองคาพยพเพียบพร้อม มีเครื่องมือ และทรัพยากรพร้อมเพรียง ที่เกิดจาก องค์กรทั้งรัฐ เอกชยน ภาคการศึกษา ทำรวมกัน ซึ่งของไทยนั้น สะเปะสะปะ ทุกคนเอาตามมาตรฐานจขั้นต่ำ เพื่อให้รอดพ้น KPI ไม่สนใจ Vision ที่วางไว้อย่างลวก ๆ 
  • เกาหลีมีการเติมทรัพยากรส่วนที่ขาดในกระบวนการสร้าง K-Startup ให้เป็น K-Entrepreneur เช่น การเติมทักษะที่ขาดจากกระบวนการ Training ที่เข้มข้นจริงจัง มีกระบวนการสร้างและแบ่งปันประสบการณ์จาก Mentoring และ Incubating System ชัดเจนจากตัวจริง (ส่วนบ้านเรานั้น เอาพี่สอนน้อง ส่วนมืออาชีพมาเมื่อว่าง) มีการให้ทุน ร่วมทุน มีการเพิ่มส่วนที่ขาดเช่น การให้คำปรึกษาเรื่อง กฎหมาย, สิทธิบัตร, การทำตลาด, ที่ปรึกษาด้านการลงทุน (ในบ้านเรานั้น ต้องวิ่งหากันเอง หากจะอยู่รอด) 

        ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่ว่าผมถือหางเกาหลีเมื่อเขาสำเร็จแล้ว ทว่า ในปี 2005-2013 นั้น เป็นช่วง Vebture Bubble Crisis อัรเกิดจากเศรษฐกิจโลก และ การลงทุนที่ไม่มี Return เช่นเดียวกับไทยในช่วงเวลานี้และก่อนหน้านี้ ในกิจการ startup ทว่า เกาหลีเรียนรู้จากความผิดพลาดและแก้ไข ถ้าผมจะ refer ถึง Dedication and Deliverable Gene ว่าเป็น ปัจจัยแห่งความสำเร็จ คงไม่ผิด เพราะว่า ไทยไม่มียีนตัวนี้ เมือใดที่เรา "ร่วมกัน" สร้าง "ระบบ" "ส่งไม่ต่อเนื่อง" เมื่อนั้น เราอาจจะมี "ผลลัพท์" ที่เกิดขึ้น ที่มี "จำนวน" และ "อานุภาพ" เพียงพอในเศรษฐกิจโลกสมัยใหม่  ถ้า "ไทย" จะ Copy ขอให้ Copy วิธีการ และนำมาปรับปรุง Develop ให้เหมาะกับเรา และ Innovate ให้เป็น Thai Style แต่อย่าเอาค่านิยมแบบเดิมของไทยมาเป็นต้นทุนก็พอ ขออนุญาตจบ EP3 ใน K-Experience แต่เพียงเท่านี้ครับ 

0 Comments

EP 10 บทเรียนจากแดนกิมจิ สู่เมืองส้มตำ ว่าด้วยการเดินทางจาก Start up สู่ Entrepreneurship: (K-Ex2) The Miracle of Han River

5/20/2020

0 Comments

 
Picture
Credit and Source: https://issuu.com/andstretchyoga/docs/seoul_qh_aug_2016
คลิกที่นี่เพื่ออ่าน 
EP 9 (K-Experience Chapter 1) บทเรียนจากแดนกิมจิ สู่เมืองส้มตำ ว่าด้วยการเดินทางจาก Start up สู่ Entrepreneurship : The Birth of K-Gene
The Miracle of Han River มหกรรมสร้างชาติเพื่อเป็นสมาชิกอันโดดเด่นบนโลก
     ในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของโลกในยุคปัจจุบัน ที่อาจจะว่าด้วยเศรษฐกิจโลกยุคหลังวิกฤตซับไพร์ม (หลังปี 1980) เป็นต้นมน หากไม่กล่าวถึง The Miracale of Han River ของเกาหลีแล้วน่าจะผิดพลาด (ทว่าในระบบการศึกษาของไทยแบบ Higher Education พูดน้อยมากครับในเรื่องนี้) เพราะว่าเกาหลี (ซึ่งในที่นี้หมายถึงเกาหลีใต้) เปลี่ยนแปลงตัวเองจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจของตัวเองจากประเทศที่ยากจนที่สุดในโลกประเทศหนึ่งหลังสงคตรามโลกครั้งที่ 2 เป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับ TOP 13 ของโลกในการจัดอันดับขององค์กรสหประชาชาติ 
     โดยส่วนตัวผมไม่ชอบคำว่า "ปาฎิหาริย์" ที่แปลตามพจนานุกรมว่า สิ่งน่าอัศจรรย์ ความน่าอัศจรรย์ ใน sense ที่ว่า มนุษย์สามัญทำไม่ได้ The Miracle of Han River (แม่น้ำฮาน เป็นแม่น้ำสายหลักของกาหลี) เป็นการเลียนแบบมาจาก The Miracle of Rine ที่เยอรมันตะวันตกขณะนั้นพลิกฟื้นตัวเองหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ความเหมือนกันของสองมิราเดิ่ล นี้ คือ การได้รับเงินทุนในการฟื้นฟู  ที่แตกต่างกันคือ ที่แม่น้ำฮานนั้น แลกมาด้วยทรัพยากร สิทธิประโยชน์ มากมายที่ต้องมอบให้แก่เจ้าของเงิน หรือนายหน้าแบบสหรัฐอเมริกา


ปฐมบทของ The Miracle of Han River 
     โดยส่วนตัวนั้น The Miracla of Han River ของเกาหลีใต้ เกิดจากปรากฎการณ์การเกรงกลัวอิทธิพลของคอมมิวนิสต์ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (คาบสมุทรเกาหลีถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนจากประวัติศาสตร์ที่เส้นขนาน ที่ 38 เริ่มต้น ณ ปันมุนจอม มีความกว้างราว 4 กิโลเมตร ยาวจากแผ่นดินฝั่งหนึ่งไปจนสิ้นแผ่นดินอีกฝั่งของคาบสมุทรเกาหลี ปัจจุบันพื้นที่นี้ถูกเรียกว่า DMZ; DeMilitarized Zone) ที่เรียกว่า "สงครามเย็น" รวมกับประวัติศาสตร์สมัยที่ญี่ปุ่นเข้ามามีอิธิพลเหนือคาบสมุทรเกาหลีตั้งแต่ปลายคริสตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ซึ่งในบทที่แล้วผมเรียกว่า Patenece Gene หรือ ยีนแห่งความอดทนอดกลั้น ซึ่งเป็นหนึ่งในพลังขับเคลื่อนเกาหลี 
      สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจ และเป็นคำถาม คือ หากคนเกาหลีไม่ได้รับแรงกดดันในช่วงเวลาตั้งแต่ ญี่ปุ่นเข้ามามีอำนาจ จนถึงนำพาเกาหลีไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 และตามด้วยสงครามเกาหลีนั้น จะเกิดแรงผลักดันเช่นที่เกิดขึ้นหรือไม่ ความแร้นแค้นที่ต้องถูกกดขี่ข่มเหงจากคนรุ่นนี้ ทำให้ คนที่ร่วมสมัยในระยะเวลานั้น จนกระทั่ง Generation Baby Boomer ของเกาหลี ที่เห็นความทุกข์ระทม จะสร้างให้มี Dedecation Gene หรือยีนแห่งความอุทิศตนเพื่อชาติในเวลาต่อมาหรือไม่ เป็นคำถามที่น่าสนใจ  ผมทำได้เะียงเทียบคียงกับประวัติศาสตร์ของไทยเท่านั้นซึ่งพบว่า เราอาจมี Gene ทั้ง 2 ตัวนี้ (Patience and Dedication Gene) เป็น "ยีนด้อย" ที่รอเพียงเวลาผลิบานในบางกลุ่มชนของสังคมไทย ผลของมันเป็นที่รู้กันในปัจจุบัน ทั้ง ๆ ทีเรามี "ทุน" ทางสังคมและเศรษฐกิจสูงกว่าเกาหลี 
        แรงผลักดันในสังคมเกาหลีเป็นปัจจัยหนึ่ง และความแร้นแค้นทางเศรษฐกิจของเกาหลีโดยเฉพาะที่เกิดขึ้นหลังจากสงครามโลก และสงครามเกาหลีอีกปัจจัยหนึ่ง เป็นแรงผลักและแรงดันให้เมื่อเกาหลีแข็งแกร่งและเมื่อถึงวันผลิบานจึงสะพรั่งไปด้วยดอกไม้ที่สวยงาม 
Picture
ภาพฤดูกาลทั้ง 4 ในเขตอบอุ่นของโลก แทนช่วงระยะเวลาทางประวัติศาสตร์ของเกาหลี ที่ผมวางแผนไว้จะนำเสนอไว้ในงานสัมมนา K-Practice ทว่าโควิดได้พราก event นี้ไป ในแต่ละช่วงในประวัติศาสตร์เกาหลี มีช่วงระยะเวลาย่อย ๆ ในระยะเวลาในแต่ละช่วง สะท้อนวัฎจักรของการเปลี่ยนแปลง ทว่า บางช่วงในประวัติศาสตร์เกาหลีนั้น อาจมีฤดูใบไม่ร่วง และฤดูหนาวที่ยาวนานกว่าประวัติศาสตร์ของชาติอื่น ๆ ทั้งหมดนี้ ผมเรียกรวมมันว่า K-Drama ในการสร้างชาติและกระบวนการ ผู้ประกอบการภิวัฒน์ของเกาหลี
Picture
เมื่อเกาหลีเริ่มตั้งต้นนับ "หนึ่ง" (ซึ่งเรียกว่าติดลบจะดีกว่า)
       สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ยังไม่ทันได้ตั้งตัว สงครามเกาหลีเกิดขึ้นแทบจะทันที โดยไม่มีเวลาให้เกาหลีได้พัก หรือฟื้นตัวจากสงครามเท่าใดนัก หลังจากสงครามที่สงครามเกาหลีสิ้นสุดลงนั่นแหละครับ อาจจะถือว่า เกาหลีใต้ได้เริ่มต้นนับหนึ่งอีกครั้ง  ทว่าบ้านเมือง สังคม พังพินาศ ประเทศเกาหลีถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน เกาหลีใต้ถูกแทรกแซงจากนานาประเทศ (ซึ่งไม่รู้จะใช้คำว่าอารยประเทศดีไหม) และองค์กรระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นหลังจากสงครามโลก ในขณะนั้น รายได่ต่อหัวประชากรอยู่ในอัตราต่ำกว่า 100 ดอลล่าร์สหรัฐต่อปี ท่ามกลางช่วงเวลานั้น เกาหลีใต้มีผู้นำชื่อว่า ประธานาธิปดีปักจุงฮี (ตรงกับ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ของไทย) ซึ่งแน่นอนว่า เบื้องหลังของ "เรา" และ "เขา" นั้น มีสหรัฐอเมริกา ที่ก้าวมาเป็นมหาอำนาจ โดยในยุคสมัยนั้นใช้รูปแบบ Labor Intensive ในอุตสาหกรรมการผลิต ซึ่งภายหลังให้เรียกว่าประเทศกำลังพัฒนา หรือ Developing Country ในเวลาต่อมา (จุดต่างหนึ่งที่สำคัญ คือ เกาหลีหนีจากอุตสาหกรรมที่ใช้ Labor Intensive ไปใช้เทคโนโลยี และก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมหนัก ในขณะที่ไทยนั้น ใช้ Labor Intensive มาจนถึงปัจจุบัน(2563))
        แนวทางการพัฒนาห้าปี ที่ต้นแบบเกิดจาก USSR ตั้งแต่ 1928 นั้นถูกใช้ในประเทศเกาหลี, ไทย และประเทศต่าง ๆ อีกมาก การเกิดขึ้นของแผนพัฒนาห้าปีของไทยและเกาหลี เกิดขึ้นในปีที่ไล่เลี่ยกัน คือ ในราว ค.ศ. 1961 (2504) ซึ่งของไทยเรียกว่า แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 โดยมุ่งสร้างให้ประเทศทั้ง 2 เดินแนวทางที่วางไว้ โดยเริ่มต้นพัฒนา Infrastructure เป็นสำคัญ (ทว่าเกาหลีเริ่มใส่แผนการพัฒนาคนในฉบับต่อมาเร็วกว่าไทยมา และทำให้เกิดผลเป็นรูปธรรม) ที่เสียหายไปในระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และสงครามเกาหลี (ส่วนคำถามที่ว่า ทำไมมีการเว้นช่วงตั้งแต่ 1945 หลังจากจบสงครามโลกนั้น แนะนำให้ไปศึกษาประวัติศาสตร์ในช่วงเวลานั้นจะดีกว่า เพราะว่าเป็นหนังดราม่าเรื่องยาวที่พระเอกขี่อินทรีย์เล่นบทแทรกแซงแต่ไม่สำเร็จทั้ง 2 ประเทศ (รวมไปถึงเวียตนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปินนส์ ในภูมิภาคเดียวกันกับไทย แต่สำหรับไทยนั้น มีอิทธิพลมากหน่อยจนเป็นปัญหาต่อเนืองให้ไทยมาจนถึงปัจจุบัน ในช่วงเวลาที่ไม่ได้ลงรายละเอียดนี้ ผู้นำของประเทศทั้ง 2 ในเวลาต่อมา ได้รับการศึกษาในสหรัฐอเมริกาเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และเป็นช่วงเลาที่ใช้ในการช่วงชิงอำนาจทางการเมือง การสร้างฐานอำนาจใน 2 ประเทศจากการสนับสนุนของสหรัฐอเมริกา)  เท่ากับว่า ต้นทศวรรษที่ 1970 นั้น คือ "ช่วงเวลาแห่งการนับหนึ่ง" ในประวัติศาสตร๋สมัยใหม่ของเกาหลี และอนุโลมให้เรียกว่า ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของไทยเช่นกัน 

แผนพัฒนาห้าปีของเกาหลี ผสมแผนปฏิวัติการศึกษา
       ปี 1962 หลังจากที่ขั้วอำนาจทางการเมืองตกลงสู่มือของประธานาธิปดีปักจงฮี ก็ยังเกิดเป็นแผนพัฒนาห้าปีของเกาหลี ที่ค่อย ๆ เปลี่ยนเกาหลีจากประเทศยากจน พังพินาศจากสสงคราม เป็นประเทศที่เริ่มลืมตาอ้าปากได้ และพัฒนาจนเป็นประเทศพัฒนาแล้วในปัจจุบัน (ซึ่งแผนพัฒนาแรกของไทยและเกาหลีนั้น คลอดตามกันมาแทบจะเรียกว่า "ฝาแฝด" แต่เป็น Unidentical Twin จึงทำให้แตกต่างกันจากระบบการเมืองที่เกาหลีมั่นคงกว่าไทย ส่วนไทยนั้น สารวนกับรัฐประหาร และปัญหาทางการเมืองตั้งแต่  2504 - 2558 และระบบสังคมภายในที่เขานั้น บ่มเพาะ Dedication Gene ในขณะที่บ้านเราเป็น Hate and Discrimanate Gene) -- รายละเอียดเพิ่มเติมหาอ่านได้ที่ Korea Five-Year Plans และ http://countrystudies.us/south-korea/47.htm ซึ่งผู้เขียนสรุปไว้คร่าว ๆ โดยแปลจากบทความนี้ + หลาย ๆ บทความ (อ่านเพิ่มเติม Development in the Republic of Korea, Twenty five years of hard work https://unesdoc.unesco.org/ark:/48223/pf0000138390)
        ก่อนเริ่มต้นแผนพัฒนาห้าปี เกาหลีได้เริ่มต้นนโยบายการศึกษาฟรีสำหรับคนเกาหลี โดยนโยบายเรียนปฐมศึกษาฟรีเริ่มต้นตั้งแต่ปี 1959 และขยายไปยังชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ตั้งแต่ปี 1985 และเพิ่มไปยังมัธยมศึกษาตอนปลาย เกาหลีประสบความสำเร็จในแผนนี้ ในปี 2017 ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้นโยบายประกันคุณภาพการศึกษา ที่เริ่มต้นตั้งแต่ ปลายคริสตศตวรรษที่ 1960 เป็นต้นมา พ่อแม่ผู้ปกครองในช่วง 1950 ซึ่งผ่านพ้นสงครามเกาหลี ยังคงยากจน และอยู่ในอุตสาหกรรมการเกษตร ขายที่นา และวัวซึ่งใช้เป็นแรงงานเพื่อสนับสนุนให้บุตรหลานได้เข้าถึงการศึกษา เรียกกันในภาษาเกาหลีว่า ตึกวัว คือ หากอยากได้การศึกษา ยาวนานและดีเพียงไร ขึ้นอยู่กับจำนวนวัวที่ขายไป หากเป็นประเทศไทย คือ  "การขายนาส่งคนมาเรียนเพื่อให้ได้ควายกลับไป" 
  • ช่วงกลางคริสตศตวรรษที่ 1950 - 1970 ในช่วงที่เกาหลีกำลังปฏิรุปหลังสงคราม เกาหลีมีนโยบายการศึกษาเป็นช่วงเวลา (เข้ากะการศึกษา) เนื่องจากคนส่วนใหญ่ยังใช้แรงงาน เมื่อว่างก็จะมีโอกาสเข้าเรียนในช่วงเวลาแตกต่างกัน เพื่อเป็นรากฐานของการพัฒนาประเทศ และทำให้เกาหลีตั้งต้นแผนพัฒนาโดยคนในประเทศมีความพร้อมด้านการศึกษาเป็นทุน โดยรัฐให้การสนับสนุนเพื่อให้ต้นทุนของประชาชนลดต่ำลง เพื่อเพิ่มแรงจูงใจด้านการศึกษา 
  • กองทุนหนังสือเพื่อสนับสนุนการศึกษาจาก UNESCO ในช่วงปี 1950-1953 มีส่วนช่วยให้การศึกษาของเกาหลีสามารถเกิดขึ้นได้ ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจฝืดเคืองหลังสงครามเกาหลี
  • การเกิดขึ้นของ PTA; Parent Teacher Association เพื่อลดปัญหาด้านต้นทุนทางการศึกษา และช่วยให้คนเข้าสู่ระบบการศึกษาได้มากขึ้น
  • แผนฉบับที่ 1 (1962-1966) เน้นโครงสร้างด้าน Infrastrauture เช่น นโยลายไฟฟ้าที่เสถียรตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านโครงการเพิ่มโรงไฟฟ้าและถ่านหิน, เน้นเรื่องการเกษตรกรรม ทำให้เกษตรกรมีรายได้สูงขึ้น เพราะว่าในขณะนั้นยังม่สามารถสร้างอุตสาหกรรมหนักได้มาก และทยอยเพิ่มดทคโนโลยีลงไปในอุตสาหกรรม, เน้นการผลิตเพื่อการส่งออก, เพิ่มการลงทุนในการพัฒนาภาคการศึกษาของเกาหลี และเริ่มลงทุนในด้านวิทยาศาสตร์ นวตกรรม และเทคโนโลยี เกิดเป็นจุดเริ่มต้นของกลุ่มบริษัทที่ภายหลังเป็นตัวผลักดันเศรษฐกิจเกาหลี เช่น กลุ่ม Hyundai, Samsung ในช่งวระยะเวลานี้ สิ้นสุดแผนแรกนั้นเกาหลีมีเศรษฐกิจโตขึ้น 7.8% 
  • แผนฉบับที่ 2 (1967-1971)​ ส่งเสริมอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยี, อุตสาหกรรมไฮเทค (ซึ่งทำให้ เกาหลีเป็นผู้ส่งออก Semi Conduter รายใหญ่ของโลกในปัจจุบัน), ลงทุนในอุตสาหกรรมหนัก เช่น อุตสาหกรรมเหล็กกล้า, การผลิตเครื่องจักร, เคมีภัณฑ์ และปิโตรเคมี  ทั้งหมดนี้ เริ่มเห็นการแทนที่แรงงานคนด้วยเทคโนโลยีเป็นรูปธรรม สิ้นสุดแผนที่สองนี้ เกาหลีใต้ขยับตัวเองเป็นประเทศอุตสาหกรรมหนัก  มีการเติบโตของเมืองต่าง ๆ การสร้างรถไฟฟ้าเชื่อมโยงเมืองต่าง ๆ เป็นเครือข่าย และมี GNP เป็น 2 เท่าจากแผนห้าปีแรก
    • ​โครงการ Kuro Industrial Park และการเกิดขึ้นของรัฐวิิสาหกิจ Chaebol เกิดขึ้นในแผนพัฒนาฉบับที่ 2 นี้ และเป็นรากฐานในการผลิตรถยนต์ในเกาหลีต่อมา 
    • 1970 เกิดโครงการทางด่วนเชื่อมโซล และปูซาน โดยกลุ่ม Hyundai (อีกนัยยะหนึ่ง คือ การสร้างถนน เพื่อรองรับอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์)
    • ​สิ่งที่น่าสนใจคือ การปฎิวัติด้านสังคมอันเกิดจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในเกาหลีใต้ เกิดเป็นความร่วมมือระหว่างรัฐและคนเกาหลีในการทำงานฟื้นฟูร่วมกันเกิดเป็นโครงการที่รัฐส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาเมืองต่าง ๆ ทั่วเกาหลีใต้ เป็นการเริ่มกระจายการพัฒนาไปยังพื้นที่ส่วนต่าง ๆ ในเกาหลี 
Picture
แสดงการเติบโตด้านการส่งออกของเกาหลีใต้ จากแผนพัฒนา 2 แผน ในรอบ 10 ปีแรก ที่มา่ https://www.researchgate.net/figure/South-Korea-Commodity-Exports-1962-1971_tbl1_329869234
Picture

​​
  • แผนฉบับที่ 3 (1972-1976) แผนเน้นไปที่อุตสาหกรรมหนักเต็มรุปแบบ Heavy Chemical Industrialization Plan (HCI Plan) ซึ่งเรียกว่า HCI ประกอบไปด้วยอุตสากหรรมเชิงกลยุทธ์ทั้ง 5 ตัวได้แก่ อิเล็คทรอนิกส์, การต่อเรือ, เครื่องจักร, ปิโตรเคมี และอุตสาหกรรมโลหะที่ไม่มีเหล็กเป็นส่วนประกอบ ซึ่งเติบโตไปพร้อม ๆ กับสงครามเย็น (ผู้แปล) โดยอุตสาหกรรมด้านโลหะเหล่านี้มีผู้ซื้อและผู้สนับสนุนหลักคืสหรัฐอเมริกา ซึ่งเริ่มสนับสนุนให้มีกองทัพเพื่อการปกป้องตัวเองขึ้นในเกาหลี และเหตุปัจจัยนี้ ทำให้การส่งออกโลหะผสมเหล่านี้ของเกาหลีเติบโตขึ้นมากในช่วงนี้ ทั้งนี้รวมไปถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในพรหมแดนระหว่างเกาหลีใต้และเกาหลีเหนือ จึงเกิดเป็นโครงการกระจายแหล่งอุตสาหกรรมให้ไกลจากพรมแดนออกไป เป็นการเริ่มพัฒนาหัวเมืองอื่น ๆ ในเกาหลีใต้ ทำให้เกิดการพัฒนาเมืองรองขึ้นมากมาย 
    • ​1975 รถยนต์คันแรกอันเกิดจากวิศวกรเกาหลีทั้งคัน จาก Hyundai เกิดขึ้น ในชื่อรุ่นว่า Pony 
  • แผนฉบับที่ 4 (1977-1981) GNP per Capita เพิ่มขึ้นเป็น 1000 เหรียญสหรัฐ และรากฐานนี้ทำให้ เมื่อสิ้นสุดแผนพัฒนา 5 ปี ฉบับที่ 4  อุตสาหกรรมหนักและปิโตรเคมี เติบโตถึง 51.8% ในปี 1981 การส่งออกเพิ่มเป็น 45.3% ถึงแ้ว่าจะเกิดปัญหาวิกฤตการเงินทั่วโลกขึ้นก็ตาม  ภาคอุตสาหกรรมของเกาหลี เติบโต และเริ่มเป็นผู้ส่งออกรายต้น ๆ ของโลก ในช่วงปลายศตวรรษที่ 1970 ความต้องการของการใช้พลังงาน, อุปสงค์ของสิ้นส่วนอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า สะท้อนการเติบโตของเศรษฐกิจเกาหลีได้เป็นอย่างดี 
    • 1979 ประธารนาธิปดีปักจุงฮี ผู้เริ่มแผนพัฒนาห้าปีของเกาหลรถูกลอบสังหาร ในวันที่ 26 ตุลาคม 1979 ทว่าไม่ได้ส่งผลประทบต่อการพัฒนาของเกาหลี เพราะว่า 3 แผนพัฒนาในระยะเวลา 15-17 ปีที่ผ่านมา ได้สร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจเกาหลีไว้อย่างดีแล้ว และแผนพัฒนาห้าปี ยังคงดำเนินต่อไป ในประธานาธิปดีลำดับต่อ ๆ มา 
    • 1979 จากการสำรวจพบว่ามีการใช้งานทีวีในเกาหลี 6 ล้านเครื่อง  โดยมีสัดส่วนในทุก ๆ 5 ครอบครัว จะมีทีวี 1 เครื่อง ซึ่งเติบโตอย่างมากจากการสำรวจในปี 1969 ซึ่งมีทีวีใช้งานเพียง 200,000 เครื่อง และแนวโน้มการเติบโตนี้ ส่งผลให้เกิดการพัฒนาในแผนฉบับที่ 5 ต่อไป
    • ​​1980 มีอัตราการเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษา 27.2% และเมื่อปี 2012 มีอัตราเข้าสู่อุดมศึกษา 72% 
    • 1980 เกิดเหตุการณ์ทางการเมืองภายใน Gwangju Democratication Movement เป็นครั้งแรกที่ตัวเลขทางเศรษฐกิจเกาหลีติดลบ
  • แผนฉบับที่ 5 (1982-1986) การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจเกาหลี หลังจากที่อุตสาหกรรมหนักนั้นเข้มแข็งและเติบโต เกาหลีมุ่งหน้าสู่อุตสาหกรรรมที่เน้นการใช้เทคโนโลยี ทำให้เกาหลีเริ่มต้นยุคของการเป็นผู้นำด้านการผลิตเทคโนโลยีตั้งแต่แผนฉบับที่ 5 นี้เป็นต้นมา ซึ่งตรงกับความต้องการของตลาดในโลกขณะนั้น (ุยุคนี้เป็นยุคที่เศรษบกิจโลกขยายตัวหลังจากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลก เช่น เงินเฟ้อ และวิกฤตน้ำมัน) สิ้นสุดแผนนี้ GDP ของเกาหลี เติบโตขึ้น 11.2% และมี Per Capita Income ที่ 2,896 เหรียญสหรัฐ
    • ​บริษัทชั้นนำด้านอุตสาหกรรมหลักเดิม เช่น LG (ซึ่งเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 1958) และ Samsung ได้เริ่มพัฒนาสายการผลิตสินค้าเทคโนโลยี เช่น ตู้เย็น, ทีวี, วิทยุ, เครื่องเล่นคลาสเซ็ท และอุตสาหกรรมด้าน Semi Condutor (ซึ่งในปัจจุบัน เกาหลีเป็นผู้ส่งออก Semi Condutor รายใหญ่ของโลก) และเริ่มส่งออกไปตีตลาดโลก ซึ่งในกลยุทธ์ด้านราคาที่ถูกกว่าสินค้าแบรนด์ชั้นนำของญี่ปุ่นในขณะนั้น
  • แผนฉบับที่ 6 (1987-1991) เป็นแผนฉบับแรกที่เพิ่มการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม เข้าไว้ในแผนเดียวกัน โดยนโยบายสะท้อนให้เห็นว่าเกาหลีกำลังโหยหาความสำเร็จ โดยแผนทางด้านเศรษฐกิจเน้นไปในด้านการเปิดเสรีการค้าในการนำเข้า และ เปลี่ยนข้อจำกัดต่าง ๆ ในด้านกระบวนการของรัฐให้เร็วขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น เน้นการนำเอาทุนสะสมไปลงทุนในธุรกิจใหม่ โดยมุ่งส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมซึ่งไม่เคยได้รับการสนับสนุนมาก่อน รวมไปถึงเน้นการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในทุกระดับของการประกอบการ เป็นการวางรากฐานบริษัทรุ่นใหม่ของเกาหลี ซึ่งพัฒนาเป็นอุตสาหกรรมที่เป็นรากฐานของ Digital & Cultural Economy ในช่วงปี 2000 เป็นต้นไป ในด้านสังคม เริ่มโครงการพัฒนาคน โดยอาศัยการฝึกอบรมด้านต่าง ๆ และรัฐเริ่มนำเงินมาอัดฉีดในการพัฒนาคน โดยร่วมกับภาคการศึกษาเป็นช่วงที่มีการนำเอาเงิน surplus จากทางเศรษฐกิจ ไหลเข้าสู่การพัฒนาคนอย่างจริงจัง 
    • ​1988 เกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 
    • 1990 อัตราการการเข้าศึกษาต่อของเยาวชนเกาหลีในระดับมาหวิทยาลัยสู่งถึง 86%
    • 1990 3.4% ของ GDP นำไปลงทุนด้านการศึกษา เริ่มกระกวนการ Re-skill บุคคลากรภาคการศึกษาทั่วประเทศ (บุคคลากรที่เคยสอนในสาขาวิชาที่ไม่ได้มความต้องการของตลาด เข้าโครงการ Reskill เพื่อสร้างบุคคลากรให้สามารถสอนได้ในสาขาวิชาที่เป็นที่ต้องการของตลาด)
    • ภาคธุรกิจชั้นนำของเกาหลี เช่น Samsung, Hyundai, LG, etc. ริเริ่มโครงการ re-training of excellent graduates เพื่อพัฒนาคนเป็นตัวอย่างแก่ภาคการศึกษา  และเริ่มพัฒนา College ของตัวเอง หรือพัฒนาร่วมกับสถาบันการศึกษา
    • 1995 การศึกษาเกาหลีวางแผนพัฒนาอย่างเป็น "ระบบ"  ตั้งแต่การออกแบบระบบการศึกษา, คอร์ส, นโยบาย การศึกษาภาคบังคับ และการศึกษาอุดมศึกษา ต่อเนื่องกันเป็น "ระบบ" และได้รับความร่วมมือจากภาคธุรกิจของเกาหลี รวมไปถึงการพัฒนาบุคลากรด้านการศึกษา
    • 1995 Korean Education Tax เพื่อนำเงินมาสนับสนุนภาคการศึกษาอย่างจริงจัง 
  • แผนฉบับที่ 7 (1992-1996) แผนพัฒนาห้าปีนี้ เป็นแผนฉบับสุดท้าย และส่งให้เกาหลีก้าวเข้าสู่ประเทศพัฒนาแล้ว แผนนี้มุ่งกระจายความเจริญไปยังอีกเมืองทั้ง 7 เมืองทั่วเกาหลีใต้ เพื่อสร้างให้เป็นแหล่งพัฒนาด้านเทคโนโลยี  และมีการวางแผนระยะยาวในการพัฒนาเมืองทั้งหมดของเกาหลีเป็นยุทธศาสตร์แห่งการพัฒนาทั่วทั้งเกาหลีไปพร้อมกัน โดยมุ่งเน้นอุตสาหกรรมรูแบบที่ใช้เทคโนโลยีสูง เช่น ไมโครอิเล็กทรอนิกส์, เคมีระดับนาโน, วิศวกรรมชีวภาพ และธุรกิจอวกาศ ทั้งนี้ รากฐานของบริษัทรุ่นใหม่ของเกาหลีที่เกิดจากแผนพัฒนาฉบับที่ 6 ก็เริ่มผลิดอกออกผล และเกาหลีเข้าสู่การนำเอาวัฒนธรรมมาเป็นผลิตภัณฑ์ส่งออกไป เป็นภาคธุรกิจใหม่ ตัั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นไป
    • ​1993 เกาหลีจัดงาน Workd Expo ที่เมืองแดจอน 
​
        หลังแผนพัฒนาฉบับที่ 7 สิ้นสุดลง เกาหลีมุ่งเข้าสู่ความเป็นประเทศพัฒนาแล้ว โดยมีรายได้ต่อหัวประชากรที่ 13,574 เหรียญดอลล่าสหรัฐ มี GDP รวม 617,960 ล้านเหรียญดอลล่าสหรัฐ เปิดตัวเองสู่ความเป็นสากล 2002 เกาหนีใต้เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกร่วมกับญี่ปุ่น  ทวา่อยา่มองแต่ภาพสวยงาม หลังากปี 1979 เป็นต้นมาเกาหลีเข้าสู่วังวนด้านความขัดแย้งทางการเมือง การคอรับชั่น ไม่แตกต่างจากไทย ทว่าเกาหลีมีความมั่นคงทางภาคอุตสาหกรรม เศรษฐกิจ และมีภาคสังคม และประชากรที่มีคุณภาพ มีนโยบายการพัฒนาคน และระบบการศึกษาที่แตกตางจากไทยมาก ท่ามกลางความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมากมาย แผนพัฒนาตั้งแต่ฉบับแรก - ฉบับที่ 7 จนถึงปัจจุบันได้สร้าง Dedication Gene ใน "ทุกระดับขององค์กร" ได้เกิดหน่วยงานต่าง ๆ มากมายในเกาหลี ที่เข้ามาสร้างเสริมกระบวนการสร้างผู้ประกอบการ และผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีมากขึ้น ดังที่เห็นในปัจจุบัน ซึ่งจะมีรายละเอียดใน EP ต่อไป และท้ายสุดเกิดเป็น Creativity and Deliverable Gene ในปัจจุบัน 
  • 1999 เกาหลีผ่านกฎหมาย LifeLong Education Act ส่งเสริมการเรียนร้ตลอดชีวิตเป็นนโยบายของชาติ โดยการเรียนรู้ตลอดชีวิตนี้เติบโตขึ้นทุกปี ในปี 2008 มัอัตรา 29.4% และ เพิ่มเป็น 35.6% ในปี 2012
  • เกาหลีสร้างความเท่าเทียมกันในการศึกษาแก่กลุ่มคนพิเศษที่มีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้พิการ, กลุ่มที่เป็น Multi-Cutural Families และกลุ่มที่ไม่สามารถเข้าถึงระบบการศึกษาตามแบบปรกติได้
  • ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 21 (ปี 2000 เป็นต้นมา) เกาหลีส่งออกสินค้าด้านวัฒนธรรม เช่น ละครเกาหลี, ดนตรีแนว K-Pop ออกไปทั่วโลก, การท่องเที่ยว อาหาร และยังรวมไปถึงสินค้าด้านความสวยงาม เสื้อผ้า เครื่องประดับที่มาจากกระแสความนิยมในเกาหลี
  • ในปี 2012 อัตราส่วนของครู มีการศึกษาสูงกว่าปริญญาโทถึง 30.8% ของครูทั้งประเทศ
  • 2015 เกาหลีลงทุนในงบประมาณ 2.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในด้านการศึกษา เพิ่มขึ้นกว่า 6 เท่าจากปี 1990 ที่เริ่มต้นพัฒนาการศึกษาอย่างจริงจัง (ที่มา  https://asiasociety.org/global-cities-education-network/south-korean-education-reforms)
  • 2013 เกาหลีติดอันดับ 18 ของประเทศที่การศึกษาดีที่สุดในโลก 
  • 2015 เริ่มหลักสูตรพัฒนาการศึกษาระยะที่ 7 โดยใช้หลักสูตร Globalized Economy
  • 2018 เป็นเจ้าภาพโอลิมปิกฤดูหนาว ที่ Pyeongchang
  • 2001 เกาหลีออกนโยบาย Plan to Improve Educational Conditions โดยกำหนดสัดส่วนจำนวนนักเรียนตอชั้นเรียน ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
  • 2001 นโยบายการศึกษาที่ให้อำนาจในการตัดสินใจพัฒนาการศึกษาของสถาบันการศึกษามากขึ้น เพิ่มความคล่องตัวและโอกาสในการพัฒนาการศึกษา  ตัวอย่างในที่นี้ เกาหลีมีหลักสูตรผู้ประกอบการ ซึ่งมีการพัฒนาหลักสูตร ทว่าโรงเรียนมีทางเลือกในการเลือกสรรหลักสูตรที่คิดว่าดีที่สุดแล้วนำมาพัฒนาเป็นของตัวเอง 
  • ความร่วมมือระหว่างภาคเอกชน และภาคการศึกษาเติบโตขึ้น และเป็นนโยบายร่วมกันที่ภาคเอกชน จะให้ความร่วมมือ และเพิ่มสัดส่วนของเงินลงทุนในภาคการศึกษาให้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาบุคคลากรในภาคอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจของเกาหลี ความร่วมมือนี้ส่งต่อไปยังการพัฒนาหลักสูตรที่เกิดจากความร่วมมือกัน ทำให้หลักสูตรมีความทันสมัย ตรงกับความต้องการของตลาด และบุคคลากรในภาคการศึกษาได้รับการ reskills upskills อย่างต่อเนื่อง 
  • หลักสูตรของเกาหลี ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมเดิม เพิ่มความคิดสร้างสรรค์ การบูรณาการณความรู้ และความหลากหลายในวัฒนธรรมของสังคมโลกเข้าไปในหลักสูตร​​       

Picture
Education, the driving force for the development of Korea. Ministry of Education. Republic of Korea
   เกาหลีสร้างแผนพัฒนาการศึกษา เป็นระยะต่อเนื่องกับช่วงวัย ส่งไม่้ต่อกันเป็นระบบชัดเจน สอดคล้องกับแผนพัฒนา โดย
  • 1948-1960 มุ่งพัฒนาระดับประถมศึกษาของประเทศ และเมื่อเยาวชนเกาหลีในระยะเวลานั้น เติบโตขึ้น แผนพัฒนาก็ต่อเนื่องเพื่อรับเยาวชนในรุ่นนี้ให้เป็นกำลังในการพัฒนาประเทศต่อไป 
  • 1960-1980 เน้นการพัฒนาโรงเรียนมันธยม และอาชีวะศึกษาของประเทศ เยาวชนรุ่นนี้ได้รับการพัฒนาสส่งออกไปยังภาคธุรกิจ และอุตสาหกรรม สอดคล่องกับแผนพัฒนาประเทศ 
  • 1981-1997 เน้นการพัฒนาระดับอุดมศึกษา และการศึกษาสำหรับมวลชน เพื่อเป็นฐานในการพัฒนาประเทศทางเทคโนโลยี
  • 1998 ถึงปัจจุบัน เน้นการศึกษาเพื่อรองรับเศรษฐกิจที่พึ่งพาคงามคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยี เริ่มกระบวนการเรียนรู้ตลอดชีวิต 
Picture
Education, the driving force for the development of Korea. Ministry of Education. Republic of Korea
        ระหว่างปี 1962 - 1996 รวมระยะเวลา 35 ปี จึงถูกขนานนามจากโลกว่า เป็น Miracle of Han River ซึ่ง ทำให้ ประชากรกินดีอยู่ดี จาก Per Capita 74 เหรียญสหรัฐ เป็น 13,574 เหรียญสหรัฐ และในปี 2018 มี Per Capita Income ที่ 33,320 เหรียญสหรัฐต่อคนต่อปี รวมไปถึงได้แทรกนโยบายการพัฒนาการศึกษาที่เป็นหัวใจ และเป็น "ทุน" ในการพัฒนาประเทศ ตั้งแต่ปั 1950 เป็นต้นมา  และผมได้นำท่านท่องย้อนกาลเวลาไปยังช่วงที่ผมเรียกว่า "มหกรรมสร้างชาติให้เป็นสมาชิกอันโดดเด่นของโลก"  และไม่ได้มุ่งหวังให้ประเทศไทย ฟื้นฝอยหาตะเข็บ หรือ พยายามหาแพะ แบบที่เราชอบบทำ สิ่งที่เราควรเห็นและได้รับบทเรียนจากเกาหลี คือ วิธีคิด การลงมือปฎิบัติ ความร่วมมือร่วมใจกันของคนเกาหลี ที่เราต้อง C&D&I คือ Copy, Develop และ Innovate มา transform ประเทศของเราต่อไป

ข้อมูลเพิ่มเติม: https://en.wikipedia.org/wiki/Economy_of_South_Korea ​

คลิกที่นี่เพื่ออ่าน EP 11 (K-Experience Chapter 3) บทเรียนจากแดนกิมจิ สู่เมืองส้มตำ ว่าด้วยการเดินทางจาก Start up สู่ Entrepreneurship: 
​C&D&I โมเดลกิมจิ สู่ส้มตำโมเดล
0 Comments
<<Previous
Picture
Picture
Picture

MonsoonSIM; The business simulation platform for learning and training
more to teach more to learn, easy to teach  easy to learn

MonsoonSIM Thailand by Zonix Services Co.,Ltd. is official reseller in Thailand