ตอนที่ 10 ใช้ 4Ps พื้นฐานควบกันเถิกจะเกิดผล ใช้ 7Ps ผสมกันจะเพลิดเพลิน
พี่แว่นหน้าตาดี เป็นกลุ่มที่เชื่อว่า พื้นฐานที่ดี จะสามารถนำไปประยุกต์หรือดัดแปลงอะไรได้มาก และสรรพวิชาร่วมสมัยใน "ชื่อใหม่" ล้วนมาจากพื้นฐาน และเติมวิธีในการอธิบายร่วมสมัย
วิชาคลาสสิคในการตลาด ที่ถูก "ดูแคลน" จากคนสมัยนี้ ว่า ทำไมยังสอนเรื่อง Marketing Mix กันอยู่ ผมว่า จริงๆ แล้วหากสามารถ Mix ส่วนผสมทางการตลาดเหล่านี้ได้จริง จะได้วิธีการในการอธิบาย "ที่มาที่ไป" ดีกว่ารู้ตามแฟชั่น
ชื่อมันบอกอยู่แล้วว่าให้ "ผสม" ไม่ให้ใช้เดี่ยวๆ ซึ่งหากคุณผมเป็น โดยเลือก "ส่วนผสม" ที่ถูกต้องกับปัจจัยแวดล้อม และข้อจำกัด คุณเป็นนักกลยุทธ์ทางการตลาดได้แล้วนะ โดยใช้ความเข้าใจที่ถูก "ดูแคลน" ว่าพื้น ๆ นี่แหละครับ
การใช้ส่วนผสมทางการตลาดเดี่ยว ๆ มันจะได้ผล เมื่อ กระบวนการไม่ซับซ้อน เช่น การบวนการตัดสินใจของผู้ซื้อ, ตลาดไม่ซับซ้อน เป็นตลาดแบบตรงไปตรงมา ฯลฯ ซึ่งยุคสมัยนี้มันมีเสียที่ไหน
สมัยนี้จะต้อง "ผสม" ให้เป็น โดยเริ่มจาก ผสม ส่วนผสมตั้งต้นให้เป็นเสียก่อน จึงจะ "ทำตลาด" ได้ พี่แว่นหน้าตาดีใช้คำว่า "ทำตลาด" ได้ แปลว่าอะไรบ้าง
- แปลว่า ทำให้ผู้ซื้อ ตัดสินใจซื้อเร็วขึ้น, ปริมาณมาณมากขึ้น (Boost, Decision Making Process, FOMO, Upselling, Cross selling, Funnel to Income)
- แปลว่า ทำให้ผู้ที่ยังไม่ตัดสินใจจะซื้อ สนใจ และจบลงที่การซื้อ (Engagement, ZMOT, Closing Sell Methodology)
- แปลว่า ทำให้ผู้ซื้อ ยังคงซื้อต่อไป หรือเป็นแม่เหล็กในการชักชวนคนอื่น ๆ มาซื้อ (FAN, Loyalty, Influenzer, Representative)
แปลแบบด้านน เรียกว่า แปลแบบ คลาสสิค แต่หากจะให้แปลแบบร่วมสมัย หรือตามหลักวิชา ให้อ่านในวงเล็บล่ะกัน
การทำตลาด มีจุดประสงค์หลากหลาย ขึ้นกับสถานการณ์ เช่น
- ต้องการเพิ่มรายได้ (Revenue)
- ต้องการส่วนแบ่งทางการตลาด (Market share)
- ต้องการให้สินค้าและบริการเป็นที่รู้จัก (Awareness)
- ต้องการให้ผู้ซื้อระลึกถึงเป็นเป็นอันดับแรก (Top of mind)
- ต้องการรักษาระดับทางการตลาด (Positioning)
- ต้องการให้เกิดภาพลักษณ์ที่ต้องการ (Branding)
- ต้องการกดดัน/กำจัดคู่แข่ง (Penetration)
- ต้องการเร่งรัดกระบวนการตัดสินใจ (Shorthem Process)
- ต้องการให้ความรู้กับตลาด เพื่อสร้างมาตรฐานให้ตลาด (Market Alignment, Standardization)
และ อื่นๆ
ดังนั้น ก่อนจะใช้ส่วนผสมทางการตลาดใด ๆ มาผสมเข้าด้วยกัน และจะเรียกชื่อใหม่ ตามยุคสมัย, เทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป, กระบวนการใหม่ ก็ขอให้เข้าใจก่อนว่า "ทำตลาด" มีจุดประสงค์อะไรบ้าง จะได้เลือกเครื่องมือได้ถูก
ตัวอย่างที่จะยกต่อไปนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่ง คงยกได้ไม่หมด เพราะว่า อาจจะใช้เวลาทั้งชีวิต (ใครเป็นสายคำนวน ก็ลองเอา 7Ps Integrtaed จะได้เริ่มต้น 5040 วิธี นี่ ยังไม่เอา set ต่อ set นะครับ -- เขียนแบบคนตกคณิตศาสตร์นะครับ)
ต้องการเพิ่มยอดขาย เพื่อเพิ่มรายได้ สามารถใช้ได้ตั้งแต่ Price, Price+Promotion, Price+Promotion+Place, Price+Promotion+Place+Product, Price+Promotion+Place+Product+Process, etc...
กรรมวิธีในโลก E-Commerec ; Promotion+Price+Place+Process อันนี้แบบเริ่มต้น ซึ่งหากใช้เก่งๆ ก็จะรวมเอา FOMO ที่ผสมเอาจิตวิทยาเข้าไป หรือ ZMOT เข้าไป เพื่อปิดการขาย และไปจบที่ Payment gateway เจ๋ง ๆ เป็นต้น ยิ่งไปรวม CRM เข้ามา ก็ครบสูตร
กระบวนการขายของใน TV Shopping; Product + Physical Evidence+ Price + Process + Promotion เป็นต้น
สร้างความน่าเชื่อถือให้กับสินค้า/ผลิตภัณฑ์; People (Influrencer, Breand Ambassador) + Process + Physical Evidence เป็นต้น
พี่แว่นบอกแล้วไง ว่า ชื่อมันบอกแล้วว่า "ต้องผสม" ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ที่ไม่ต้องมีความรู้อะไรมาก ให้คิดให้พื้นฐาน แต่ต้องเข้าใจก่อนว่า ส่วนผสมทางการตลาดมีขอบเขตอะไรบ้าง ไม่ใช่ ท่องจำเป็นนกแก้วนกขุนทาง และแปลอังกฤษเป็นไทย ต้อง "ตีความ" เพิ่ม "ประสบการณ์" + "จินตนาการ"
เช่น หากยังดำรงความงี่เง่าที่มีคนสอนว่า Place ต้องเป็นสถานที่ ก็จะไม่เข้าใจว่า Place นั้น จริงๆ แล้ว ตีความว่า ที่ที่ผู้ซื้อพบผู้ขาย หรือ แปลแบบกระแดะแบบนักการตลาดลีลามาก ต้องบอกว่า จุดใด ๆ ที่ผู้มีปัญหา มาพบผู้เสนอวิธีแก้ปัญหา และจบลงที่การซื้อขาย (ซึ่งใช้คำนี้ไม่กระแดะพอ ต้องบอกว่า และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ผู้มีปัญหา เพื่อการซื้อซ้ำ)
การแปลว่า Price คือ ตัวเงิน ก็จะได้แค่ วิธีการใช้ราคา แต่หากตีความว่า ราคา อาจหมายถึง ความมีหน้ามีตา, ความเชื่อมั่น, ความเชื่อถือ แบบนี้ กระบวนการใช้ Price จะหลากหลายขึ้น
การแปลว่า People คือ ผู้ขาย แทนที่จะแปลว่า Brand Representative ก็จะทำให้ ขายได้ แล้วลูกค้ามาด่าผ่าน Call Center เนื่องจากพนักงานที่หน้า Kios บริการไม่ดี เป็นต้น
การแปลว่า Process คือ กระบวนการในการขาย และการปิดการขาย อย่างเดียว ก็ยากที่จะเกิดการซื้อซ้ำ และการขยายวงของสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
นักศึกษาไทยรุ่นใหม่ ไม่แปลแล้วนะครับ ต้อง เข้าใจ และตีความ เพื่อสร้างการเรียนรู้ และที่สำคัญที่สุด เปลี่ยน "ความรู้" ไปสู่การปฏิบัติ ไม่ใช่เอาไปใช้ในการ "สอบ"
#MonsoonSIMสตรองค์มากใน7Psให้ประสบการณ์จากพื้นฐานสู่การใช้งานจริง
พี่แว่นหน้าตาดีจบเพียงเท่านี้ก่อนนะคัรบในตอนนี้ เพราะว่าไม่สบายจึงหายไป 2-3 วัน จะพยายามกลับมาทุกวัน เพื่อเปลี่ยนให้ "ความรู้" สู่การปฏิบัติได้ ครับ
ติดตามเรื่องราวดีดีได้ผ่าน Hashtag #บทเรียนง่ายๆสไตล์มอนซูน
พี่แว่นหน้าตาดี เป็นกลุ่มที่เชื่อว่า พื้นฐานที่ดี จะสามารถนำไปประยุกต์หรือดัดแปลงอะไรได้มาก และสรรพวิชาร่วมสมัยใน "ชื่อใหม่" ล้วนมาจากพื้นฐาน และเติมวิธีในการอธิบายร่วมสมัย
วิชาคลาสสิคในการตลาด ที่ถูก "ดูแคลน" จากคนสมัยนี้ ว่า ทำไมยังสอนเรื่อง Marketing Mix กันอยู่ ผมว่า จริงๆ แล้วหากสามารถ Mix ส่วนผสมทางการตลาดเหล่านี้ได้จริง จะได้วิธีการในการอธิบาย "ที่มาที่ไป" ดีกว่ารู้ตามแฟชั่น
ชื่อมันบอกอยู่แล้วว่าให้ "ผสม" ไม่ให้ใช้เดี่ยวๆ ซึ่งหากคุณผมเป็น โดยเลือก "ส่วนผสม" ที่ถูกต้องกับปัจจัยแวดล้อม และข้อจำกัด คุณเป็นนักกลยุทธ์ทางการตลาดได้แล้วนะ โดยใช้ความเข้าใจที่ถูก "ดูแคลน" ว่าพื้น ๆ นี่แหละครับ
การใช้ส่วนผสมทางการตลาดเดี่ยว ๆ มันจะได้ผล เมื่อ กระบวนการไม่ซับซ้อน เช่น การบวนการตัดสินใจของผู้ซื้อ, ตลาดไม่ซับซ้อน เป็นตลาดแบบตรงไปตรงมา ฯลฯ ซึ่งยุคสมัยนี้มันมีเสียที่ไหน
สมัยนี้จะต้อง "ผสม" ให้เป็น โดยเริ่มจาก ผสม ส่วนผสมตั้งต้นให้เป็นเสียก่อน จึงจะ "ทำตลาด" ได้ พี่แว่นหน้าตาดีใช้คำว่า "ทำตลาด" ได้ แปลว่าอะไรบ้าง
- แปลว่า ทำให้ผู้ซื้อ ตัดสินใจซื้อเร็วขึ้น, ปริมาณมาณมากขึ้น (Boost, Decision Making Process, FOMO, Upselling, Cross selling, Funnel to Income)
- แปลว่า ทำให้ผู้ที่ยังไม่ตัดสินใจจะซื้อ สนใจ และจบลงที่การซื้อ (Engagement, ZMOT, Closing Sell Methodology)
- แปลว่า ทำให้ผู้ซื้อ ยังคงซื้อต่อไป หรือเป็นแม่เหล็กในการชักชวนคนอื่น ๆ มาซื้อ (FAN, Loyalty, Influenzer, Representative)
แปลแบบด้านน เรียกว่า แปลแบบ คลาสสิค แต่หากจะให้แปลแบบร่วมสมัย หรือตามหลักวิชา ให้อ่านในวงเล็บล่ะกัน
การทำตลาด มีจุดประสงค์หลากหลาย ขึ้นกับสถานการณ์ เช่น
- ต้องการเพิ่มรายได้ (Revenue)
- ต้องการส่วนแบ่งทางการตลาด (Market share)
- ต้องการให้สินค้าและบริการเป็นที่รู้จัก (Awareness)
- ต้องการให้ผู้ซื้อระลึกถึงเป็นเป็นอันดับแรก (Top of mind)
- ต้องการรักษาระดับทางการตลาด (Positioning)
- ต้องการให้เกิดภาพลักษณ์ที่ต้องการ (Branding)
- ต้องการกดดัน/กำจัดคู่แข่ง (Penetration)
- ต้องการเร่งรัดกระบวนการตัดสินใจ (Shorthem Process)
- ต้องการให้ความรู้กับตลาด เพื่อสร้างมาตรฐานให้ตลาด (Market Alignment, Standardization)
และ อื่นๆ
ดังนั้น ก่อนจะใช้ส่วนผสมทางการตลาดใด ๆ มาผสมเข้าด้วยกัน และจะเรียกชื่อใหม่ ตามยุคสมัย, เทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป, กระบวนการใหม่ ก็ขอให้เข้าใจก่อนว่า "ทำตลาด" มีจุดประสงค์อะไรบ้าง จะได้เลือกเครื่องมือได้ถูก
ตัวอย่างที่จะยกต่อไปนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่ง คงยกได้ไม่หมด เพราะว่า อาจจะใช้เวลาทั้งชีวิต (ใครเป็นสายคำนวน ก็ลองเอา 7Ps Integrtaed จะได้เริ่มต้น 5040 วิธี นี่ ยังไม่เอา set ต่อ set นะครับ -- เขียนแบบคนตกคณิตศาสตร์นะครับ)
ต้องการเพิ่มยอดขาย เพื่อเพิ่มรายได้ สามารถใช้ได้ตั้งแต่ Price, Price+Promotion, Price+Promotion+Place, Price+Promotion+Place+Product, Price+Promotion+Place+Product+Process, etc...
กรรมวิธีในโลก E-Commerec ; Promotion+Price+Place+Process อันนี้แบบเริ่มต้น ซึ่งหากใช้เก่งๆ ก็จะรวมเอา FOMO ที่ผสมเอาจิตวิทยาเข้าไป หรือ ZMOT เข้าไป เพื่อปิดการขาย และไปจบที่ Payment gateway เจ๋ง ๆ เป็นต้น ยิ่งไปรวม CRM เข้ามา ก็ครบสูตร
กระบวนการขายของใน TV Shopping; Product + Physical Evidence+ Price + Process + Promotion เป็นต้น
สร้างความน่าเชื่อถือให้กับสินค้า/ผลิตภัณฑ์; People (Influrencer, Breand Ambassador) + Process + Physical Evidence เป็นต้น
พี่แว่นบอกแล้วไง ว่า ชื่อมันบอกแล้วว่า "ต้องผสม" ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ที่ไม่ต้องมีความรู้อะไรมาก ให้คิดให้พื้นฐาน แต่ต้องเข้าใจก่อนว่า ส่วนผสมทางการตลาดมีขอบเขตอะไรบ้าง ไม่ใช่ ท่องจำเป็นนกแก้วนกขุนทาง และแปลอังกฤษเป็นไทย ต้อง "ตีความ" เพิ่ม "ประสบการณ์" + "จินตนาการ"
เช่น หากยังดำรงความงี่เง่าที่มีคนสอนว่า Place ต้องเป็นสถานที่ ก็จะไม่เข้าใจว่า Place นั้น จริงๆ แล้ว ตีความว่า ที่ที่ผู้ซื้อพบผู้ขาย หรือ แปลแบบกระแดะแบบนักการตลาดลีลามาก ต้องบอกว่า จุดใด ๆ ที่ผู้มีปัญหา มาพบผู้เสนอวิธีแก้ปัญหา และจบลงที่การซื้อขาย (ซึ่งใช้คำนี้ไม่กระแดะพอ ต้องบอกว่า และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ผู้มีปัญหา เพื่อการซื้อซ้ำ)
การแปลว่า Price คือ ตัวเงิน ก็จะได้แค่ วิธีการใช้ราคา แต่หากตีความว่า ราคา อาจหมายถึง ความมีหน้ามีตา, ความเชื่อมั่น, ความเชื่อถือ แบบนี้ กระบวนการใช้ Price จะหลากหลายขึ้น
การแปลว่า People คือ ผู้ขาย แทนที่จะแปลว่า Brand Representative ก็จะทำให้ ขายได้ แล้วลูกค้ามาด่าผ่าน Call Center เนื่องจากพนักงานที่หน้า Kios บริการไม่ดี เป็นต้น
การแปลว่า Process คือ กระบวนการในการขาย และการปิดการขาย อย่างเดียว ก็ยากที่จะเกิดการซื้อซ้ำ และการขยายวงของสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
นักศึกษาไทยรุ่นใหม่ ไม่แปลแล้วนะครับ ต้อง เข้าใจ และตีความ เพื่อสร้างการเรียนรู้ และที่สำคัญที่สุด เปลี่ยน "ความรู้" ไปสู่การปฏิบัติ ไม่ใช่เอาไปใช้ในการ "สอบ"
#MonsoonSIMสตรองค์มากใน7Psให้ประสบการณ์จากพื้นฐานสู่การใช้งานจริง
พี่แว่นหน้าตาดีจบเพียงเท่านี้ก่อนนะคัรบในตอนนี้ เพราะว่าไม่สบายจึงหายไป 2-3 วัน จะพยายามกลับมาทุกวัน เพื่อเปลี่ยนให้ "ความรู้" สู่การปฏิบัติได้ ครับ
ติดตามเรื่องราวดีดีได้ผ่าน Hashtag #บทเรียนง่ายๆสไตล์มอนซูน