ในหลายตอนที่ผ่านมา พี่แว่นหน้าตาดี ให้เห็นความสำคัญของการตั้งราคา และหลักการตั้งราคาเป็นพื้นฐาน มีคำถามมาว่า ใoสถาการณ์ปัจจุบัน ที่คนส่วนมากรู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ดี และต้นทุนต่าง ๆ ของการประกอบการก็เพิ่มสูงขึ้น ในสภาวะสงครามการค้า และปัจจัยอื่น ๆ เราจะทำอะไรผ่าน "ราคา" ได้บ้าง
หากความรู้สึกของผู้บริโภค หรือคนทั่วไป กำลังอยู่ในสภาวะที่เห็นร่วมกันว่า เศรษฐกิจไม่ดี ข้าวของแพงขึ้น นั่นคือฝ่ายผู้บริโภค ในขณะที่ฝ่ายผู้ขายสินค้า ก็เจอสภาวะต้นทุนที่สูงขึ้น
การจะเพิ่มราคานั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะว่า จะกระทบกับยอดขาย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากสินค้าและผลิตภัณฑ์นั้น ไม่ใช่ของจำเปนตามหลักปัจจัยสี่ หรือ ทำตลาดในกลุ่ม Lower Middle Class หรือ กลุ่มที่มีอำนาจการซื้อน้อยและหวั่นไหวต่อระดับราคา (ต้องคิดต่อว่า หากจำนวน Unit ที่ขายได้ลดลง รายได้ก็จะลดลงไปอีกทอด และกระทบต่อรายจ่าย กระทบต่อ Profit Margin ฯลฯ)
การจะลดราคาก็อาจจะหืดขึ้นคอ เพราะว่า ต้นทุนก็เพิ่มสูงขึ้น และอาจจะทำให้บริษัทตกอยู่ในสภาวะลำยาก หากมีสินค้าเพียงกลุ่มเดียว ไม่มีความหลากหลาย คือ ไม่มียอดรวม (Lumpsum) อันเกิดจากผลิตภัณฑ์อื่น ๆ มาช้่วยกระจายความเสี่ยงของบริษัท
คำตอบที่บริษัทส่วนมากทำ ในธุรกิจค้าปลีกมักทำ คือ การคงราคาเดิมไว้ โดยมีจุดประสงค์เพื่อ ชะลอการหดตัวของตจลาดหากมีการเปลี่ยนแปลงราคา และเป็นกลยุทธ์ในกรณีที่ คู่แข่งอาจตัดสินใจปรับขึ้นราคา ซึ่งจะทำให้โมเนตัมของ Demand ไหลกลับมาที่ผู้ที่ยืนราคา ในกรณีที่สินค้าทดแทนกันได้ง่าย
แต่บริษัทเหล่านั้น เลือกที่จะ ใช้ทางเลือกในวิธีอื่น ๆ เข้าทำตลาด เมื่อ P-Pricing ถูกแช่แช่็งไว้ วิธีการที่ใช้ประจำเช่น
1. ใช้ P-Promotion ออกมาในรูปแบบของ Sales Promotion ในการเพิ่ม Volume เช่น ซื้อ 2 ชิ้น ในราคาพิเศษ หรือ ซื้อพ่วงกับสินค้าที่สามารถใช้ควบคู่กันได้ (Cross Selling) หรือ การ ใช้สินค้าพวก Value Pack
วิธีการนี้ สินค้าจะยังคงขายได้ และยังได้ Revenue เข้าสู่บริษัท ได้อยู่ จะสังเกตุได้ว่า วิธีการนี้จะใช้ได้ในระยะเวลาสั้น ๆ หรือในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ๆ หลังจากนั้น ก็จะเปลี่ยนไปใช้วิธีการอื่น ในสภาพตลาดและความประสงค์เดิม
2. ใช้หลักของ Sizing คือ ขนาด/ปริมาณสินค้า ซึ่งวิธีนี้ ค่อยข้างพิสดารในสินค้าบางประเภท
2.1 ใช้การเพิ่มขนาด และสื่อสารทาง packaging เราจะพบในสินค้าที่มีต้นทุนวัตถุดิบไม่แพง หรือกระทบต่อ Margin ในเชิงต้นทุนน้อยที่สุด เช่น มันฝรั่ง
ทอด ที่มักจะมีมุมซองเขียนว่า เพิ่มปริมาณขั้น 30% จากน้ำหนักบรรจุเดิม ซึ่ง 30% ดูเยอะมาก ทว่า ในเชิงต้นทุนนั้น แทบจะไม่เพิ่มขึ้นเท่าใดนัก วิธี
การนี้ หลักการ คือ ให้ผู้ซื้อรู้สึกถึงความคุ้มค่าที่เพิ่มมากขึ้น ใน "ราคาเท่าเดิม" เพื่อจูงใจ เช่นเดิม คือ วิธีนี้จะใช้ได้ในระยะเวลาสั้น ๆ
2.2 ใช้การลดขนาด แต่เปลี่ยน Packaging ใหม่ ให้ผู้บริโภคไม่รู้สึก เช่น การเปลี่ยนบรรจุภัณธ์ของแชมพู ให้มีขวดรูปร่างเปลี่ยนแปลงไป อันที่จริงแล้ว
สามารถลดปริมาณได้ เพือชดเชยกับต้นทุนที่สูงขั้น อันนี้ทำกันในกลุ่มสินค้าทีบริษัทมีมาตรฐาน แต่ถ้า เป็นกลุ่มผู้ประกอบการที่ไม่มีนะโนธรรม อาจจะ
ลดปริมาณลงเลย โดยที่ไม่แจ้งให้ทราบ ทีละนิดละหน่อย เพื่อหลีกเลี่ยงการจับได้ และผู้บริโภคไม่ทันไหวตัวทัน
3. การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อให้เกิดความ "เนียน" การการเปลี่ยนสินค้าและต้นทุน และยังรักษาสถาภาพทางการตลาดได้ ทั้งนี้ คือเปลี่ยนความสนใจ ให้ผูซื้อไปสนใจในเรื่อง Feature อื่นๆ แทน หรือ ในความคิดระดับต่อมา คือ เปลี่ยนผู้ศื้อจากกลุ่มเดิม ไปบนผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งคนส่วนมากมีความอยากทดลองของใหม่
จริงๆ แล้ว ยังมีอีกหลายวิธี เช่น ใช้ P-People โดยนำเสนอ Brand mbassador คนใหม่ หรือ Influencer เพื่อแสดงหาลูกค้าใหม่, นำเสนอ P-Process ใหม่ เช่น วิธีการใช้ผลิตภัณฑ์ในมุมใหม่ที่คนทั่วไปไม่เคย เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ถูกใช้ในหลากหลายวิธี เป็นต้น
วิธีการเหล่านี้เป็นตัวอย่างที่พบในชีวิตประจำวัน ขาวมรสุมสยามเคยสังเหตุหรือเปล่า ?? แต่ตอไปนี้อาจจะสังเกตุว่า เกิดอะไรขึ้น และพยายามหาเหตุผลในทางธุรกิจมาอธิบาย เพื่อที่จะเพิ่มพูนวิธีการคิด และความคิดเชิงกลยุทธ์จากธุรกิจจริง ๆ
กลับมาพบบทเรียนง่าย ๆ สไตล์มอนซูนได้ทุกวัน โดยติดตาม Hashtag #บทเรียนง่ายๆสไตล์มอนซูน
ถ้าชอบก็แชร์สิครับ จะอ่านคนเดียวทำไม
พี่แว่นหน้าตาดี
#มองจากประสบการณ์รอบตัวและเปลี่ยนให้เป็นความเข้าใจ
#จากเกมง่ายๆพัฒนาเป็นความคิดเชิงกลยุทธ์
#พื้นฐานทางการบริหารธุรกิจการจัดการเริ่มต้นได้ที่MonsoonSIM