Thailand MonsoonSIM Content by P3Y Academy
MonsoonSIMTH
  • THAILAND MonsoonSIM
    • TH MonsoonSIM Product & Service >
      • MonsoonSIM Users/Customers ในประเทศไทย >
        • ความเห็นของนักศึกษาที่ได้ใช้ MonsoonSIM
    • ข่าวสาร TH MonsoonSIM
    • TH Monsooner Library >
      • New Learner Guide >
        • Newly User Guide
        • Finance Measurement BI & Analytics Guide >
          • MSIM x Data Analytics >
            • Download
        • Sales and Marketing Guide
        • Management Guide
        • Integrated Business Knowledge
      • V9 MSIM QuickGuide >
        • V9 USER MANUAL & Content
      • ชุดความรู้จาก MonsoonSIM >
        • MSIM DAILY WORD with COSCI SWU >
          • MSIMTH COSCI SWU Dailyword
    • TH Facilitator Library >
      • Facilitator Quick Guide V9
      • CT Manual and Tools V9
      • CT Clips Manual V9 >
        • Basic Game setup, Tools and Tips
        • Configurations drill down
        • Configulations Design
  • SPECIAL ACTIVITIES
    • COMPETITION >
      • TH ERM LEAGUE >
        • TH ERM LEAGUE 2021 >
          • Candidate THERML 2021
        • TH ERM LEAGUE 2020 >
          • English Presentation Clip
          • MSIM TH LEAGUE 2020
        • TH ERM Challenge 2019 >
          • ผลงานรอบ English Presentation Clip
          • การโต้วาที ใน Semi-Final
        • TH ERM Challenge 2018 >
          • Judges of TH ERM Challenge 2018
          • ผลงานรอบ English Presentation
          • ผลงานรอบนำเสนอ SME CASE
          • FAQ About TH ERM Challenge 2018
          • Download
        • TH ERM Challenge ๒๐๑๗ >
          • คำปรารภจากใจผู้จัดการแข่งขัน
          • ผู้สนับสนุนการแข่งขัน
          • กรรมการรับเชิญของการแข่งขัน TH ERM Challenge ๒๐๑๗
        • TH ERM Challenge 2016 >
          • ประสบการณ์ของ TH Monsooner รุ่น 1
      • MERMC >
        • MERMC 2020
        • MERMC 2019
        • MERMC 2018
        • MERMC 2017 >
          • Competition Quick Information
          • Judges of MERPC
          • Update News about MERPC 2017
        • MERMC 2016
    • MonsoonSIM Freshman >
      • MSIM Freshman 2021
      • MSIM Freshman 2020
    • Thais Teen Entrepreneurial Project
    • Donation Workshop >
      • Donation Workshop 2021 >
        • Q4 2021 Donation Workshop
        • Q3 2021 Donation Workshop
        • Q2 2021 Donation Workshop
        • Q1 2021 Donation Workshop
      • Donation Workshop 2020 >
        • Q4 2020 Donation Workshop
        • Q3 2020 Donation Workshop
        • Q2 2020 Donation Workshop
        • Q1 2020 Donation Workshop
    • MSIM CONFERENCE >
      • MSIM CONFERENCE 2019
      • MSIM CONFERENCE 2020
    • MSIM TH SEMINAR >
      • K-Practice 2020
      • 2016 Series
      • 2017 Series >
        • Related Topic to Seminar Theme
        • Summay and Download
      • League of TH Education Transfornation >
        • Round Table for TH Education Transformation
        • Online Seminar
        • Clip to Lecturer
    • MonsoonSIMTG x Alliances >
      • WoW Academy Thailand 2021!!! >
        • WoW Academy Workshop
      • Entrepreneurial Series by BDT and Gamification
  • Sharing Index
    • BLOG
    • Article by MonsoonSIM TH
  • Contact us

เปรียบเทียบ Global Survey ของ The Economist และการสำรวจในประเทศไทย ในหัวข้อ Driving the skills agenda: Preparing student for the future

6/17/2017

0 Comments

 
​Download Presentation Slide
Download บทความที่เกี่ยวข้อง

Download บทความของ The Economist
0 Comments

เหตุใดจึงเลือก Digital Transformation มาเป็นแนวคิดในการทำ Education Transformation ใน MonsoonSIM Seminar 2017

5/11/2017

0 Comments

 
Picture
กิตติกรรมประกาศ
ขอขอบคุณ คุณดนัยรัฐ ธนบดีธรรมจารี ซึ่งเป็นผู้สร้าง Digital Transformation Reference Model  และเป็นผู้อนุญาตให้ผู้จัดกิจกรรมนำมาใช้เป็น Framework ในการสร้างกิจกรรมเรื่อง Thai-Style Education Transformation in Digital Era (Digital Transformation in Thai-Style Higher Education) ใน MonsoonSIM Seminar 2017 

ในหลายครั้งที่ได้สนทนา และเข้าร่วม workshop คุณดนัยรัฐเสนอ Concept เกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจ ใน Digital Transformation Workshop เช่น
  • ดิจิตอล คืออะไร แล้วจะใช้ในการทำ Transformation อย่างไร 
  • หัวใจของการ Transform ไม่ได้อยู่ที่การเปลี่ยน Platform ไอที แต่อยู่ที่การจะใช้ประโยชน์จาดไอที และดิจิตัล ให้เกิดประโยชน์อย่างไร
  • เรียนรู้เทคโนโลยี เพื่อช่วยในการเปลี่ยนองค์กร โดยอาศัยหลักอื่นผสมกันไป 
  • สังคมน่าอยู่เมื่อเราแบ่งปัน 
  • รู้สึก นึก คิด ทำ 

โดยส่วนตัวของผู้จัดกิจกรรม มีความสนใจในเรื่อง Education Transformation ที่ผู้จัดทึกทักเอาว่า จะให้เกิดเป็นแนวคิด Education as a Service (EDUaaS) จึงได้นำเอาแนวคิดนี้ มาเป็น Theme หลักในการจัดกิจกรรม ที่ผู้จัดเห็นว่าจะเกิดประโยชน์ต่อวงการศึกษา ที่ทุกคน "รู้สึก" "นึก และคิด" และ "ทำ" หรือมีส่วนร่วมได้ ทั้งนี้บทความที่ "ไม่ใช่" บทความทางวิชาการนี้ เขียนและเพิ่มเติมจากแนวคิดของผู้เขียน จากแนวคิดหลักของคุณดนัยรัฐ ผิดถูกประการใด รอให้ทุกท่านได้โปรดมาช่วยกันอธิบายเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์

จึงขอขอบคุณ ต้นฉบับแห่ง Digital Transformation Reference Model ไว้ ณ ที่นี้ และหวังว่า จะมีทีมผู้ร่วมด้วยช่วยกันสร้าง EDUaaS มากขึ้น 

ขอแสดงความขอบคุณและความนับถือ 
ปรมินทร์ เยาว์ยืนยง


Further Information: 
  • Digital Transformation V3.4 โดยคุณดนัยรัฐ ธนบดีธรรมจารี ใน Slide share Click here
  • Digital Transformation by Enterpriser Project Click here
  • Digital Transformation by I-Scoop Click here
  • Digital Transformation by MuleSoft Click here
  • Digital Transformation by Infoworld Click here

เหตุใด Digital Transformation มาเป็นแนวคิดในการทำ Education Transformation ใน MonsoonSIM Seminar 2017
        เหตุผลผู้จัดกิจกรรม MonsoonSIM Seminar 2017 นำแนวคิด Digital Transformation และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง Digital Transformation Reference Model มาเสนอเพื่อเป็น Theme หลักในการทำ Education Transformation มีดังนี้ 
  • ​เป็น Framework ที่ใช้กันในวงการธุรกิจ และเพื่อให้กระบวนวิธีคิดจากภาคธุรกิจในการทำ Trasnformation ถูกส่งไปยังภาคการศึกษา และต้องการให้เป็น "ทางเลือก" ในหลาย ๆ ทางในการปฏิรูปการศึกษา
  • Framework มีความเข้าใจง่าย และรายละเอียดที่ปรากฎใน Reference Model ที่สร้างมาเพื่อภาคธุรกิจ สามารถที่จะไปปรับใช้กับภาคการศึกษาได้ ผลที่ได้จาก การใช้ Frame Work นี้ จะเห็นภาพกว้าง (Holistic View) ของการทำ Education Transformation และภาคการศึกษาจะนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทและปัจจัยแวดล้อมที่ต่างกันออกไป
  • มี Template ของการสร้างหรือ การ Transform Service การจัดสินใจยกเลิก Services ที่เอามาปรับใช้นั้นมีรูปแบบคล้าย Syllabus ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการสร้าง Curriculum และ Syllabus สำหรับภาคการศึกษา 
  • เป็นหลักการที่ดีในการทำ Project Management เรื่องการทำ Transformation 

ในเนื้อหาของการปรับใช้ Digital Transformation ในการทำ Education Transformation ผู้เขียนจะรวมไว้ในหัวข้อต่อไป สำหรับหัวข้อนี้นั้น สร้างขึ้นเพื่อให้ท่านเข้าใจว่า Digital Transformation คืออะไร และเหตุใดผู้จัดกิจกรรมจึงนำมาใช้เป็น Theme เพื่อเป็นทางเลือกหนึ่งในการทำ Education Transformation (DT2ET)
Picture
อะไรคือ Digital Transformation ?
(ผู้เขียน เขียนบนความเข้าใจส่วนตัว โปรดร่วมด้วยช่วยกันชี้แนะ)


ผมจับผลัดจับผลูเข้าไปร่วมงานสัมมนาเรื่อง Digital Transformation ที่จัดที่ ม.ธรรมศาสตร์ในราวปลายปี 2559 ด้วยความสงสัยว่า Digital Transformation คืออะไร ส่วนเหตุผลของการทำ Transform นั้น เป็นเรืองที่เดาได้แต่แรกว่า ต้องการเปลี่ยนแปลงเพื่อผลลัพท์ที่ดี  สิ่งที่ผมตั้งคำถามแต่แรกในนิยามของคำคำนี้ คือ 
  • Transformation คืออะไร ในภาษาไทย มีคำนิยามง่ายๆ คือ "เปลี่ยน"  (พาลให้คิดต่อไปว่า เปลี่ยนอย่างไร เวลาคิดในบริบทภาษาไทย จะมี เปลี่ยนจากเดิมด้วยการเพิ่มเติมลงไป = เปลี่ยนแปลง, เปลี่ยนแล้วเคลื่อนย้าย = เปลี่ยนผ่าน ผันเปลี่ยน, เปลี่ยนและถ่ายทอด = เปลี่ยนผ่าน จึงพยายามเลิกคิดด้วยภาษาไทย) และหวนคิดไปถึงหนังเรื่องที่รถยนต์แปลงเป็นหุ่นยนต์ (Transformer) หลังจากสงสัยและพยายามหาคำตอบด้วยตนเองในภาษไทย  จึงใช้ Dictionary Online หลาย ๆ ค่าย ก็พบว่า Transformation เป็นการเปลี่ยนที่มีมีความลุ่มลึกแตกต่างกัน จากพื้นฐานความรู้เดิม หรือคลังคำส่วนตัว ยังมีคำที่มาจากโลกชีวะวิทยา เช่น Transform คือ แปลงร่าง เช่น แปลงจากหนอน กลายเป็นผีเสื้อ ที่การทำ transform นี้ใช้ระยะเวลาใน Life Span หรือชั่วชีวิตหนึ่ง ๆ และยังมีทฤษฎีวิวัฒนาการ ของ Charle Darwin คือ Evolution หรือวิวัฒนาการ ซึ่งแบบนี้จะกินเวลายาวนาน ซึ่งกินระยะเวลาหลาย Generation ซึ่งกินระยะเวลายาวกว่า ในศัพท์ทางการปกครอง จะมีคำว่า "ปฏิรูป" และ หากเติม "R" จะเป็นคำอีกคำ คือ Revolution "ปฏิวัติ" ซึ่งให้ความหมายคนละเรื่อง ระหว่าง การเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป หรือ การเปลี่ยนแปลงทันทีทันใด  จากหลาย ๆ นิยาม และระดับของการเปลี่ยนแปลง ผมจึงทึกทักเอาเองว่า Transformation คือ การเปลี่ยนแปลงที่มีห้วงระยะเวลา และเมื่อเปลี่ยนแล้วจะไม่คงรูปลักษณ์เดิมเอาไว้ ในระบะเวลาที่เห็นผลลัพท์ได้ในช่วงหนึ่ง ๆ (Tntersection ของความหมายหลวม ๆ ของ Change + Transform + Evolution + Revolution) ขึ้นอยู่กับว่า ผู้ที่กำหนาผลของการเปลี่ยนแปลงจะมองจากมุมใดบ้าง 
 
  • Digital คืออะไร คำนี้มีความหมายเปลี่ยนไปตามห้วงเวลา ที่มาจากรากศัพท์คือ Digit หรือ ตัวเลข และอย่าไปเปิด Dictionary เพราะว่า หากคุณเปิดอาจจะยิ่งสับสน  ทั้งนี้ผมเลยทึกทักว่า เราควรนิยามหรือตีความมันใน Long form ของคำในมุมของ Digitization มันเป็น "กระบวนการ หรือ วิธี ที่ใช้ข้อมูลที่เกิดจากฐานตัวเลข ในกระบวนการแปลให้ระบบประมวลผลเข้าใจ" และอยู่ในรูปแบบของ Information ไม่ใช่ Data เพื่อการสังเคราะห์ข้อมูลที่เร็วขึ้น สะดวกขึ้น มีความแม่นยำหากมีสมมุติฐานซึ่งเป็นที่มาของสูตรการตีความที่ถูกต้อง" หลังจากไม่เข้าใจสิ่งที่ตนเองแปลเท่าไหร่นัก คุณดนัยรัฐก็แปลให้ชัดเจนว่า สะดวกใช้ "ทุกที่" "ทุกเมื่อ" "ทุกอุปกรณ์" หรือ Any time Any Place และ Any Device ซึ่งง่ายกว่ามาก เพราะว่า เอาประโยชน์ของดิจิตอลมาเป็นคำแปลเสียเลย
​​
  • Digital Transformation คืออะไร  พอนำเอา 2 คำที่มีความหมายในตัวเอง มาเข้าคู่เพื่อสร้างนิยามเฉพาะขึ้น ยิ่งน่าสนใจ ซึ่งแนวคิด Digital Transformation นี้เป็นเรื่องที่พูดในภาคธุรกิจในหลายอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นผลจากการลงทุนด้าน IT ในยุคที่ธุรกิจเชื่อว่าการลงทุนด้าน IT จะส่งผลบวกต่อธุรกิจ และมีการทำต่อเนื่องกัน และหลาๆ กิจการต่างพบว่า การลงทุนด้านไอที โดยไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการสร้างบริการ หรือช่วยให้กระบวนการทางธุรกิจนั้นมีความกระชับ และคล่องตัวมากขึ้น และภาคธุรกิจเรียนรู้ว่าระบบ IT ไม่อาจสามารถเปลี่ยนแปลงองค์กรได้ หากปราศจาก แนวคิดสำคัญ และผนวกเข้าด้วยความสำเร็จในเชิงโครงการการบริหารงาน การมีขั้นตอนและกระบวนการที่เหมาะสม ซึ่งการมีแต่ IT จะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงจากปัจจัยอื่นๆ ทั้งในเชิงเทคโนโลยีเครือข่าย, การเกิดขึ้นของสื่อ Social Media และบริการผ่าน Mobile Device ได้เปลี่ยนแปลงวิธีคิดของโลก ทำให้พฤติกรรมของคนเปลี่ยนไป เช่น ต้องการความรวดเร็วมากขึ้น, สะดวกมากขึ้น, ง่ายขึ้น, มีชีวิตส่วนตัวมากขึ้น ฯลฯ เป็นที่มาของการเปลี่ยนแปลง และโลกก็เข้าสู่ยุคที่เทคโนโลยีผสมกับความต้องการอำนวยให้เกิด "ยุคดิจิตอล" และเป็นที่มาของบริหารใหม่ที่ Distrup ธุรกิจที่วางอยู่บนโลกเดิม และโลกไอทีเดิม และเป็นที่มาที่แนวคิด Digital Transformation เพื่อให้ธุรกิจนั้นดำรงคงอยู่ ผ่านการเรียนรู้บนความเจ็บปวดผิดพลาดหลายประการ เช่น การลงทุนที่ไม่วางบนหลักการพัฒนา, การดำเนินตามความสำเร็จของผู้อื่น ฯลฯ เพราะถ้าธุรกิจไม่ Transform ตัวเอง ก็จะถึงกาลปาวสาร เพราะว่า เทคโนโลยีที่ดีขึ้น เก่งขึ้นที่ทำให้เกิดบริการด้านดิจิตอล (เช่น Cloud, Block Chain และ Big Data) + ความต้องการใชชีวิตยุคดิจิตอล (รวมถึงความสะดวกสบาย ความรวดเร็วนั้น การใช้ประโยชน์ได้อย่างสูงสุด คุ้มค่าที่สุด) จะทำให้ธุรกิจเดินถอยห่างจากสภาวะล่มสลาย​ ก้าวสู่กระบวนการของการเปลี่ยนแปลง เพื่อการอยู่รอดอย่างยั่งยืน

         การทำ Digital Transformation ในภาคธุรกิจ ส่วนมากเกิดขึ้นกับบริษัทเดิมที่กำลังประสบปัญหา หรือเล็งเห็นว่าปัญหากำลังจะเกิด นั่นเป็น Approach แรก  ใน Approach ต่อมาซึ่งธุรกิจเกิดใหม่ในยุค Startup ที่ Disrupt ธุรกิจเดิม หรือ ธุรกิจที่ก้าวเข้าสู่โลกดิจิตอล และพัฒนาตัวเองด้วยความ "เข้าใจลูกค้า" และ "เข้าใจคู่ค้า" ก็ได้ใช้แนวคิดการสร้างธุรกิจในยุคดิจิตอล ก็ใช้แนวคิด Digital Transformation ได้เช่นกัน 

Picture
Picture

Picture
Picture
Pictureการตั้งคำถาม สีฟ้าคือคำแนะนำของคุณดนัยรัฐ ส่วน +?? ที่ Highlight สีเหลือง เป็นการเพิ่มเติมของผู้เขียน
​
​Digital Transformation Reference Model เอาไปใช้งานได้อย่างไร
          ใน Digital Transformation Reference Model ของคุณดนัยรัฐนั้น แท้จริงแล้วมีนัยยะและรายละเอียดต่าง ๆ แฝงไว้ค่อนข้างมาก ด้วยข้อจำกัดของผู้เขียนบทความนี้ มีความสามารถจำกัดอาจจะอธิบายเรื่อง DT และใช้ Reference Model นี้ได้ไม่เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
         โดย Concept นั้นให้เริ่มต้นจากการตั้งคำถาม  ขากบนลงล่าง และกำหนด Density รูปแบบที่แตกต่างกันของปัญหาตั้งต้นในองค์กร อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงเพื่อผลลัพท์ใหม่นั้น ไม่สามารถเกิดจากการทำเหมือนเดิมได้ 

Pictureการตั้งคำถามให้รอบด้านจะช่วยให้เกิดมุมมองในการทำ Digital Transformation หรือการแก้ไขปัญหาใด ๆ ได้กว้างขวางและเกิดประโยชน์มากขึ้น
คำถามหลักตามคำแนะนำใน Reference Model จะช่วยให้ท่าน มองเห็นมุมมอง และเกิดประโยชน์ในการสร้างสภาวะการเปลี่ยนแปลงตามหลักของ Kottler การตั้งคำถามให้รอบด้านจะช่วยให้ท่านสามารถเข้าใจถึงผลกระทบอื่น ๆ และวางแผนการจัดการได้ดีขึ้น ยกตัวอย่างเช่น Why (ทำไม) ใน Vision and Mission Statement นั้น หากท่านเพิ่มเติม Who เข้าไปท่านจะเห็นมุมมองว่าจะส่งข้อความใด เพื่อการสร้าง Powerful Coalition และ create Vision of change ได้ดียิ่งขึ้นด้วย หรือใน Digital Organization Layer นั้น การใช้ Who (ใคร) หากถามให้ละเอียดมากขึ้น เช่น ใครที่ตะได้รับผลกระทบ, ใครที่จะได้ประโยชน์, ใครหรือฝ่ายใด จะเป็นผู้เริ่มต้มในกระบวนการเปลี่ยนแปลง เหล่านี้นั้นจะช่วยให้เกิดการปรับ Organization เกิดประโยชน์และเอื้อต่อการเปลี่ยนแปลง

หมายเหตุ: Digital Transformation Reference Model นั้นสามารถปรับเปลี่ยนตามปัจจัยแวดล้อม เช่น ความหนาบางในบาง Layer ได้ ขึ้นอยู่กับขนาดขององค์กร ใน Layer Digital Organization, เลือกใช้ตามข้อจำกัดของแต่ละองค์กร โดยยืนพื้นจากการบริหารทรัพยากรที่มีอยู่เดิม ใน Layer Business Process as a Service และ Digital Platform 

Picture
1) กำหนด Vision, Mission Statement เสียก่อน
    การกำหนด Vision หรือ Mission Statement เพื่อให้รู้ว่าวัตถุประสงค์ของการ Transform นั้น ๆ ต้องการผลลัพท์อย่างไร การกำหนด Vision Statement นั้นถ้าเป็นการทำ Digitalization Planning หรือ Digital Transformation ก็ควรนำเอา "ขนาด" และ "สถานะ" ขององค์กรมาร่วมด้วย 
    Vision Statement ยกตัวอย่างเช่น นักศึกษาสายไอทีในอีก 5 ปีข้างหน้าจะต้องมีทักษะและความรู้ด้านธุรกิจ ควบคู่กับด้าน Coding และมีทักษะด้าน Data Analytic เป็นต้น 

    Vision Statement นั้นคุณดนัยรัฐแนะนำว่า สำหรับองค์กรที่มีขนาดเล็ก เกิดขึ้นใหม่ หรือสร้าง Differentiation ต้องใช้หลักของ Innovation ทว่าหากเป็นองค์กรที่มีขนาดกลางและมีรูปแบบของกิจกรรมที่ซ้ำในกระบวนการ ควรต้องเน้นที่ Effeiciency ส่วนองค์กรขนาดใหญ่มาก ๆ อาจมิงไปที่หลักของ Sustainability 
    อย่างไรก็ตามการกำหนด Vision หรือ Mission Statement คือ การตั้ง Goal ของกิจกรรมนั้น ๆ  อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัว ควรเอาเรื่องของหลักการวัดผล, เวลาที่ใช้่ในการปฎิบัติ, ทรัพยากรที่มี และจิตวิทยาองค์กรมาเป็นปัจจัยในการกำหนดด้วย เพราะหาก Vision ที่เขียนไว้เกิดกว่ากำลังที่องค์กร หรือหน่วยงานจะทำได้ Vision Statement อาจะเป็นจุดเนิ่มต้น และจุดสุดท้ายของการทำ Transformation ในจุดเดียวกัน

Picture
2) การจำแนกเจาะจงบริการที่จะเข้ากระบวนการ Transform ที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ด้านธุรกิจ 
ใน Reference Model แนะนำไว้ว่าเมื่อระบุ Mission Statement ได้แล้ว ลำดับต่อมา ควรมองไปที่ "การบริการ" ซึ่งอาจแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 
  • New Services หรือ บริการใหม่ 
  • Optimized Services หรือ บริการเดิมที่ควรต้องปรับปรุง
  • Retired Services หรือ บริการที่ควรจะต้องยกเลิก
​​ซึ่งจะเป็นรูปแบบการให้บริการที่ การสร้างใหม่ ปรบปรุงให้ดีขึ้น หรือ ยกเลิก นั้น จะต้องสอดคล้องกันกับวัตถุประสงค์ในทางธุรกิจ (หรือวัตถุประสงค์ขององค์กร) และแน่นอนจะต้องสอดคล้องกับ Mission Statement 

ทั้งนี้บริการนั้นอาจจะเป็น Internal Service ในองค์กร ที่สัมพันธ์กับ Business Process หรือ จะเป็น External Service ที่ออกไปยังคู่ค้าหรือลูกค้า นั้น ก็สามารถสร้างได้ อนึ่ง แนวคิดนี้เป็นวิธีการเดียวกันกับการตัดสินใจเรื่อง Service ทั่วไป ต่างกันตรงนี้ หากเป็นการทำ Digital Transformation นั้น Service ที่เกิดขึ้นจะมีความเป็นดิจิตอล เพื่ออำนวยความสำดวก ในหลักของ ทุกที่ ทุกเมื่อ ทุกอุปกรณ์ที่เป็นดิจิตอล หรือส่งรับส่งข้อมูลได้เข้าไปด้วย ส่วนหนึ่งที่อุปกรณ์จะต้องเข้ามาเกี่ยวนั้น เพราะว่า ทุปวันนี้อุปกรณ์สามารถรับส่งข้อมูลได้ ซึ่งข้อมูลต่าง ๆ จะตามมาซึ่งการตีความข้อมูลเพื่อใช้เป็นฐานในการสร้าง, ปรับปรุง หรือ ยกเลิกบริการได้ต่อไป 
​
​คำถามหลักที่คุณดนัยรัฐ แนะนำไว้คือ When (เมื่อใด) เพราะว่า อาจมองได้ในหลายมิติ เช่น เมื่อใดที่ควรจะเริ่มพิจารณา และตัดสินใจในการสร้าง ปรับปรุง หรือ ยกเลิกบริการ ในส่วนของการสร้าง When จะสอดคล้องกับระยะเวลาในการดำเนินการ (Operation Leading) และหากเพิ่มคำถามในแง่มุมอื่น ๆ ลงไป (ซึ่งจำนวนคำถามนั้นจะไม่เท่ากัน และรูปแบบคำถามจะไม่เป็นแบบแผน) ท่านจะได้มุมมองที่เพิ่มขึ้น ในเชิงเงื่อนเวลา, ผลกระทบ และจะเป็นความเชื่อมโยงไปยัง Layer ต่อไป ในเชิงธุรกิจ อาจจะต้องมีการ Integrated How ในเชิง How Long, How Much เพื่อประกอบการตัดสินใจในการปรับปรุงบริการเช่นกัน

Picture
แบบฟอร์มที่คุณดนันรัตน์ ออกแบบมาเพื่อใช้ในการทำความเข้าใจภาพรวมของการทำ Digital transformation เพื่อให้เกิด Service ที่สอดคล้อง เป็นการรวมทั้ง 5 Layer ในแบบฟอร์มเดียว
Picture
3) การจัดการเชื่อมโยงระหว่าง Organization เดิม กับรูปแบบ Digital Organization
มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อมีการทำ Transformation เพราะว่า มีเป้าประสงค์ที่เป็นเจตนารมณ์ของการเปลี่ยนแปลง จนเป็นที่มาของการเลือกที่จะสร้าง, ปรับปรุง และ ยกเลิกบริการใด ๆ ที่มีอยู่ในองค์กร ย่อมต้องเกี่ยวข้องกับ Organization ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อองค์กรตัดสินใจจะเดินเข้าสู่กระบวนการ Digial Transformation แล้วนั้น องค์กรก็ควรจะปรับเปลี่ยนไปเป็น Digital Organization ด้วย
ในองค์กรที่มีขนาดเล็กนั้นมักมีความคล่องตัวสูง ในองค์กรขนาดกลางใหญ่ จนถึงระดับ Enterprise นั้น ย่อมมี Management Hierachy ซับซ้อนไม่เท่ากัน การปรับตัวให้เกิด Digital Organization นั้น จะไปสัมพันธ์กันกับทุก Layer เพราะว่า หากการปรับเปลี่ยนที่มีเป้าหมายที่ดี มีการจำเพาะเจะาจงบริการที่ตอบโจทย์ทางธุรกิจ จะต้องมาอยู่ในโครงสร้างการบริการแบบเดิมนั้น การทำ Transformation นี้คงจะชะงักงัน เพราะว่า ใน Layer นี้นั้น Hierachy มีความสำคัญต่อ "ความเร็ว" "ความคล่องตัว" และ เมื่อการปรับเปลี่ยนบริการใด ๆ ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากปัจจัยแวดล้อมเช่น คู่แข่ง, ความแปรผันของตลาด, ข้อจำกัดด้านทรัพยากร 


Digital Organization จะมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร น่าจะให้นิยามได้ ว่าเป็นองค์กรที่ใช้ IT ได้อย่างเกิดประโยชน์ ทั้งในส่วนที่เป็น Internal Operation และ External Operation โดยเกิดความ "รวดเร็ว" "แม่นยำ" "มีฐานข้อมูลที่พร้อมจะใช้ประมวลผลได้เมื่อต้องการ"  การเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้หาก นโยบายและเป้าหมายชั้นเจนใน 2 Layer แรกแล้ว ที่เหลือ จะช่วยให้การปรับเปลี่ยนด้าน IT ที่เดิมให้ด้าวสู่ Digital Platform จะเป็นเรื่องเชิงเทคนิค ซึ่งใช้ทั้ง หลักของการบริการจัดการ และ IT มาผสมผสานกัน 

องค์กรที่จะก้าวเข้าสู่การทำ Transformation นั้น หากไม่สามารถเริ่ม Digital as Mindset ให้กับทั้งองค์กรได้ และเป็นประโยชน์ร่วมกันในการเปลี่ยนแปลง เห็นทีจะเปลี่ยนแปลงได้ยาก และจะมีจำนวนน้อยรายที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จในการทำ Digital Transformtion ในกรณีนี้ควรเริ่มต้นที่ Top-Down 

What is Really means to be a Digital Organization by Digitalist Click here

Being a truly digital organization by Accenture Click here

Picture
4) การสร้างบริการที่ช่วยให้กระบวนการทางธุรกิจมีประสิทธิภาพมากขึ้น (ฺBusiness Process as a Services; BPaaS)
Business Process (BP) เป็นศาสตร์แขนงใหญ่แขนงหนึ่งที่ใช้ใน (เขียนตามความเข้าใจของผู้เขียน และขออนุญาตย้ำเตือนว่า บทความนีัไม่ใช้บืความทางวิชาการ)
  • การ "ออกแบบ" (ฺBusiness Process Designing) โครงสร้างในการจัดการทางธุรกิจที่ รวดเร็ว ถูกต้อง มีประสิทธิภาพ ตรวจสอบหาสาเหตุของปัญหาได้รวดเร็ว และแน่นอน "เพื่อสร้างบริการทั้ง Internal Service และ External Service"
  • การ "ปรับปรุง" กระบวนการเดิม เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงขึ้น (ฺBusiness Process Optimization) ซึ่งจะมีขั้นตอนการสำรวจกระบวนการเดิม (ฺBPI; Business Process Investigation) และแน่นอนตามมาด้วยกระบวนการยกเลิกขั้นตอนที่ไม่เกิดประโยชน์และไม่จำเป็น (Business Process Retirement)
  • การประสานรวมเป็นเนื้อเดียวกันของแต่ละขั้นตอนให้ไร้รอยต่อ (ทอเต็มผืน ทำงานได้ลื่น) หรืออาจจะเหมารวมเรียกได้ว่า Business Process Orchestration; BPO
​
การเปลี่ยนแปลงใด ๆ เช่นเดิม นอกจากจะหลีกเลี่ยงเรื่อง แนวคิด, การสร้างสรรค์ เปลี่ยนแปลง ยกเลิก, การปรับให้องค์กรคล่องตัว สิ่งเหล่านี้ต้องการ "ความลื่นไหล และประสิทธิภาพ" ในกระบวนการ (ฺBusiness Process Lubrication) ซึ่ง IT และ Software ต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายเพื่อตอบโจทย์สิ่งนี้ในยุค IT 

ความแตกต่างกัน (จากมุมมองของผู้เขียนที่มีความราู้ด้านนี้จำกัดมาก) ระหว่าง BP ในยุค IT และ BPaaSA ในยุค Digital เห็นจะเป็นจะมีส่วนคล้ายและส่วนต่างกันดังนี้
  • ความคล้ายคลึงกันคือ BP จะต้องสอดรับกับธุรกิจ  ทว่า ในโลก IT (กำลังหมายถึง ย้อนหลังกลับไปหลังที่ 2010 โดยประมาณ) ด้วยข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี ทั้ง Network และระบบ Hybrid Cloud, Data Analytic Technology, In-memory Database, IoT, Security ฯลฯ ทำให้การปรับเปลี่ยน BP นั้น ทำได้ยากในเชิงเทคนิค และเมื่อในเชิงเทคนิคทำให้การปรับเปลี่ยนเป็นเรื่องใหญ่ ยาก กระบวนการ BP จึงไม่ได้รับการเรียนว่า BPaaS ซึ่งทำให้เกิดเป็นข้อจำกัด 
  • ความแตกต่างกัน คือเรื่องของ ตัวเร่งปฎิกิริยา (BP Accelerating Factors) นั้น ในยุคดิจิตอลเกิดขึ้นในอัตราเร่งที่เร็วกว่า โดยเกิดจากฝั่งผู้รับบริการ หรือผู้บริโภคปลายทาง >> ผู้เชื่อมโยงสินค้าบริการ >> ผู้ให้บริการ (โปรดดูเรื่อง Supply Chain Management ประกอบ) ทำให้กระบวนการ BPO จะต้องเร็วขึ้นตามอัตราเร่ง และพร้อม ให้เปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วขึ้นด้วย

​อย่างไรก็ตาม "ห้ามตกม้าตาย" เมื่อต้องการความไว Business Process ในปัจจุบัน (ขึ้นอยู่กับอุสาหกรรม และรูปแบบทางธุรกิจ) ซึ่งมีความเชื่อมโยงของ "คน" ในจำนวนที่มากน้อยต่างกัน ซึ่งหมายถึง Skill Level, Competency, Adoption rate แตกต่างกันไปด้วย  หากยกทั้ง BP ไปไว้บน Digital Platform ด้วยข้อดีต่าง ๆ อันมากมาย ทว่า "ตกม้าตาย" ที่เรื่องของคนนั้น จะเป็นการเสียของ เสียเวลา เสียทรัพยากร และที่สำคัญที่สุด คือ เสียบรรยาการศในการทำ Transformation ไปด้วย 

Business Process as a Service by Gartner Click here
Business Process as a Service by Technopedia Click here


Picture
5) Digital Platform ที่ตอบรับการบวนการ Digital Transformation ขององค์กร
เป็นเรื่องน่ายินดีที่ (2017)เทคโนโลยีด้านไอที เติบโตและพัฒนามาตามช่วงเวลา ซึ่งเรื่อง Digital Platform นี้จะทันสมัยในระยะเวลาหนึ่ง และร่วงโรยไปเมื่อ Platform ที่จะเกิดขึ้นใหม่ แต่หลักการสำคัญคือ IT/Digital จะต้องรองรับความต้องการของธุรกิจเป็นสำคัญ ส่วนใครจะเน้นมุมไหน ในเชิง Business Strategy นั้น อยู่ที่ Vision/Mission Statement


ผมขอให้ Digital Platform ว่า "เครื่องมือ" + "ปลดล๊อก" + "พันธนาการ" = เครื่องมอืปลดล๊อกพัมธนาการ 
  • "เครื่องมือ" อยู่ที่ผู้ใช้งาน ความสามารถของมันจะเกิดเมื่อผู้ใช้งานเข้าใจถ่องแท้ ถึงความสามารถและเอาไปต่อ ยอดได้  ในยุคไอทีนั้น อุปมาเหมือน ทุกคนอยากมีเครื่องมือ มีเพียงบางคนที่ใช้เครื่องมือเต็มประสิทธิภาพ มีหลายคนที่เครื่องมือกลับเป็น Cost Center และไม่ถูก Utilize เช่น ในยุค IT ทุกคนมี Server Farming มีทุก Platform ทุกอย่าง Silo Services หลังยุค Virtualizatilism ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงกระบวนการ Utlization มากเท่าาที่จะเป็น 
  • "ปลดล๊อก" คงหมายถึง ทำในสิ่งที่ "ไม่เคยทำได้" หรือ "ทำได้ดีกว่า/เร็วกว่า/ถูกต้องมากกว่า/สะดวกกว่า" 
  • "พันธนาการ"  หมายถึงปัญหาเดิม  "ที่แก้ไขไม่ได้" หรือ "แก้ไขได้ยาก" 

​Digital Platform ที่เอื้อให้การทำ Digital Transformation นั้น ส่งให้ "ธุรกิจเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ" (มิใช่ Performance ของ IT Infrastructure ดีขึ้น) ซึ่งควรจะมองประโยชน์ของมันให้หลายมิติ เช่น มิติด้านการจัดการทรัพยากร, มิติด้านคุณภาพของการบริการที่เหนือกว่าคู่แข่ง, มิติด้านการเปลี่ยนถ่ายที่รวดเร็ว และ แน่นอนมิติด้านการลงทุน ฯลฯ

BIG DATA และ Data Analytic ช่วยให้ท่านได้รับข้อมูลได้กว้างขวางขึ้นและสะดวกมากขึ้น เมื่อ Data ผ่านมาในรูปแบบที่หลากหลาย จาก API บนอุปกรณ์ต่าง ๆ ข้อมูลทั้งในเชิง Structure และ Un-Structure แบบเดิมที่มีข้อจำกัดในการวิเคราะห์ก็ลดทอนข้อจำกัดเหล่านี้ลง  ก่อนที่จะเริ่มมี Big Data แบบ "เขามีเราต้องมี" นั้น ท่านอาจจะต้องถามตัวเองก่อนว่า "ข้อมูล" ที่มีคุณค่า และ จำนวนมหาศาล เดิมที่ท่านมีอยู่แล้วนั้น องค์กรของท่านได้เคยใช้ประโยชน์อย่างสูงสุดหรือยัง มิเช่นนั้น จะเป็นการเปลี่ยน Platform ไปตามแฟชั่น  และข้อมูลเหล่านี้ จะใช้ในในการวิเคระห์อะไร เพื่อประโยชน์อะไร  ซึ่งมีความจำเป็นไปกว่าการมีข้อมูลที่ไม่เคยถูกวิเคราห์เลย ในโลกปัจจุบันธุรกิจชนะกันด้วย "กลยุทธ์ทางข้อมูล" ประกอบกับ "กลยุทธ์ทางธุรกิจอื่นๆ" ประกอบกัน (โปรดตีความคำว่า "กลยุทธ์" ให้ถูกต้องด้วย)

ในประเทศไทย หลายๆ หน่วยงาน และใน หลายๆ ส่วนงานภายในเอง เห็น "ข้อมูล" เป็น "ไข่" และ เจ้าของข้อมูลเป็น "จงอาง" ก่อนเริ่มต้นจากการมี Big Data เริ่มต้นจากการ Structure ข้อมูล และ Pooling ข้อมูลให้เกิดประสิทธิภาพเสียก่อน และเป็น Practice ที่จะให้ "คน" ในองค์กรเอง เห็นประโยชน์ของการทำ Pooling Data ภายในเพื่อตอบโจทย์ธุรกิจ สร้างประสบการณ์ในการใช้ข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์ หรืออย่างน้อย Master Data ใช้ Field name ชื่อเดียวยกันก่อนก็ยังดี 

​Cloud Computing (ระบบประมวลผลกลุ่มเมฆ) โดยบริการของ Cloud ทำสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นให้เกิดได้ เช่น การประมวลผลบน XXX CPU ร่วมกันทำให้งานประมวลผลร่นระยะเวลา หรือ การบริการ Cloud Drive ที่ Access File ที่สร้างความสะดวกได้มากขึ้น, App on Cloud เพื่อการ Utilization และง่ายต่อการใช้งานกับอุปกรณ์ Mobile ที่มีขนาดเล็ก  

ระบบประมวลผลกลุ่มเมฆก็มีหลายรูปแบบ แต่แต่ Private Cloud ในองค์กรของท่าย, Public Cloud, Hybrid Cloud ในประเทศไทย (ณ ปี 2017) ด้วยข้อกำหนด, กฎเกณฑ์, ข้อจำกัดด้านระบบเน็ทเวิร์ค และความไม่มั่นใจต่าง ๆ นานา เช่น ด้านความปลอดภัย เป็นต้น อาจจะต้องตอบว่า Private Cloud ในองค์กรจะเป็นสิ่งที่ทำได้มากที่สุด ในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ หากท่านกำลังกระโจนเข้าสู่ Digital transformation ที่ควรต้องถามก่อนเป็นอันดับแรก เลยคือ ประโยชนที่ท่านจะได้จาก Cloud Computing มีความจำเป็นอย่างไรกับองค์กร และหากองค์กรของท่านยังไม่เคย Utilize IT Resources ในยุค Virtualization มาก่อนเลย การกระโดดไปยังกลุ่มเมฆอาจ Landing ผิด จากพบนางมณีเมขลา เจอรามสูรขว้างขวานใส่ท่านแทน 


Digital Security ความปลอดภัยเป็นเรื่อง "สำคัญ" และความปลอดภัย มักแลกมาด้วย "ความไม่สะดวก" และ "ความหวาดกลัว" เราพบกระบวนการสร้างความปลอดภัยตั้งแต่ ระดับรากหญ้าถึงยอดหญ้าบนตึก Burj Khalifa (Password, Password ที่มีอักขระและเงื่อนไข, Password ที่ถูกตั้งเวลาให้เปลี่ยน และใช้ Format เดิมซ้ำกันไม่ได้, OTP จนถึง Encryptography ใน Block Chain เพื่อทำ Digital Identity หรือในเชิง Infrastructure และกระบวนการ Omni-Checking, Physical Security Key, Port Blocking,  Firewall, Authentication ฯลฯ )  ในบางองค์กรลงทุนเรื่อง Security มากมาย บนข้อมูลที่ไม่เคยถูกวิเคราะห์ ก่อนการทำ Digital Transformation นั้น มีคำถามด้าน Security พื้นฐานมากมาย ซึ่งควรต้องสร้างให้เป็น Practice ในองค์กร เพราะว่า ความผิดพลาดเชิง Security ที่พบบ่อยที่สุด เกิดจาก "คน" ไม่ใช่เทคโนโลยี 

ก่อนการทำ Digital Transformation โดยเลือก Security Platform ใด ๆ องค์กร และสังคมอาจจะต้องสร้างสิ่งที่เรียกว่า Digital Sense of Security เสียก่อน มิเช่นนั้นแล้ว อาจจะเป็นการซ่อนกุญแจไว้ใต้พรม หรือ การใช้ วันเกิด เลขมือถือ เป็น Password ก็ได้ 

Digital Transformation อาจไม่มี Best Practice ว่าจะต้องทำอะไรก่อนหลัง ควรจะเริ่มต้นที่ Layer ใด ก่อนหรือหลัง ควรจะเลือกใช้ Platform อะไรบ้าง ทั้งหมดนี้ ขึ้นอยู่กับ "ปัจจัย" หลายประการ และ "ผลลัพท์" ที่แต่ละองค์กรต้องการ  ซึ่งทั้งหมดนี้ มีความแตกต่างกัน การเริ่มต้นจากการมองหา Best Practice แบบที่ทำกันมาก่อน และบาดเจ็บบ้าง รอดบ้าง และตายไปบ้าง เป็นการเริ่มต้นที่ผิดพลาด และควรเอาประสบการณ์ของการ "ทำซ้ำ" บนปัจจัยที่แตกต่างกัน ผลลัพมที่ต้องการต่างกัน พื้นฐานปัญหาที่ต่างกัน เป็น "Best Practice" ที่จะ
  • พิจารณา "องค์กร" เสียก่อน ผ่านการ "ตั้งคำถาม" ให้รอบด้าน และตอบคำถามสำคัญที่สุด จาก "Vision and Mission Statement" ให้ได้เสียก่อน 
  • จัดการกระบวนการใน Layer ที่เหลือ  และปรับใช้ให้เหมาะสมกับองค์กร
  • การเปลี่ยนแปลงสำคัญนี้ เป็นมุม Inside out หรือ Outside In 

สามเหลี่ยน Reference Model อาจมี Element ในแต่ละชั้น ทับซ้อนไปมา ขึ้นอยู่กับขนาดของปัญหา 

ผู้เขียนหวังว่า รายละเอียดเรื่อง Digital Transformation นี้ จะให้ท่านได้มี "เครื่องมือ" ในการทำ Education Transformation ในอีก Approach หนึ่งเป็นทางเลือก และต้องผสม "อย่างไทย" ลงไปในกระบวนการด้วย

ปรมินทร์ เยาว์ยืนยง
ความเข้าใจ และความเห็น ณ 12/5/2017

0 Comments

Thai Style จะต้องไม่จบลงที่ Thailand Only !!! แต่มี Only Thailand ที่ทำได้

5/10/2017

0 Comments

 
Picture
หมายเหตุ:
1) บทความนี้ไม่ใช่บทความด้านวิชาการ  
2) ใช้ approach ในเชิง "สังคมศาสตร์" และ "ประวัติศาสตร์" เพื่อให้ท่านผู้อ่านเข้าใจว่า การผสมผสานแบบไทยนั้น "พิเศษ" เฉพาะทาง และเป็นส่วนหนึ่งของบทความเพื่อให้ท่านเข้าใจ กิจกรรม MonsoonSIM Seminar 2017 ใน Theme  Thai-Style  Education Transformation in Digital Era
3) โปรดอย่าแสดงความเห็ฯด้วยข้อความรุนแรง

เขียนไว้ ณ วันที่ 10 พฤษภาคม 2560 (วิสาขบูชา) 
การเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในประเทศไทย ต้อง "อย่างไทย"  
       มีความพยายามในการเปลี่ยนแปลงในองค์กรทุกระดับในประเทศไทย ทั้งในภาครัฐ ภาคเอกชน รัฐวิสาหกิจ โดยมานั้น เอา "แนวคิด" จากแหล่งอื่น ๆ ที่มี "เจ้าภาพ" เชื่อว่าเป็นของดีมาเป็นหลักในการเปลี่ยนแปลง แต่การเปลี่ยนแปลงโดยมากนั้น ไม่ประสบผลสำเร็จเต็มที่ อาจเป็นเพราะสิ่งที่สำเร็จมาจากต้นแบบนั้นมีปัจจัยไม่เหมือนกันกับ "ปัจจัย" แวดล้อมในการเปลี่ยนแปลง ที่เกิดขึ้นกับ "คนไทย" มีตัวอย่างมากมายที่เมื่อ "เจ้าภาพ" หรือ "ต้นเรื่อง" เห็นว่าดีแล้วนำมาปรับใช้  และเมื่อการปรับเปลี่ยนที่เกิดขึ้นยังไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะว่า ไม่เข้าใจ "โจทย์" ก็มักจะมีของใหม่ แนวคิดใหม่ มาแทนที่ และลงท้ายด้วยผลลัพท์เดิม ๆ เสมอ

หลากหลายประเด็นเรื่อง ".............อย่างไทย"

       ในประวัติศาสตร์ไทย ที่สะท้อนออกมาในรูปแบบวัฒนธรรมเดิม และวัฒนธรรมร่วมสมัย ที่มีแต่ "ไทย" เท่านั้น ที่มีอัตลักษณ์ในลักษณะนี้ สิ่งนี้ควรถูกมองเป็นความพิเศษในสังคมที่มีรากเหง้าและปัจจัยกำหนดการเปลี่ยนแปลงมากมาย ทว่า ในค่านิยมของคนไทยนั้น (รวมไปถึงเมืองอื่น ๆ ก็เป็นกัน แค่คนไทยเป็นมากกว่าที่อื่น) ไทยแท้ ไทยเดิม ที่มีบ่อเกิดมากจาก วัฒนธรรมสยามจริง ๆ นั้น "หาได้ยาก" แต่คนไทย (จะเรียกสยามก็ได้) แต่อดีต นั้น เราเป็นชาติที่ "รับเอาทุกอย่างมาดัดแปลงให้เหมาะกับเราเสมอ" และ สิ่งที่เป็นไทยแท้(ตามความเห็นของผู้เขียนซึ่งได้รับอิทธิพลจาก อาจารย์พิริยะ ไกรฤกษ์ ในฐานะนักเรีัยนประวัติศาสตร์) แน่ ๆ คือ เรามีค่านิยม "ชอบของนอก" ดังนั้นแล้ว สังคมเรียนรู้จากเรื่องนี้ จนหล่อหลอมมาเป็น "อย่างไทย"  เช่น        
  • "สถาปัตยกรรม" อย่างไทย ที่นำเอาความงามจากปรางค์ในเมืองพระนคร ซึ่งหากอ้างประวัติศาสตร์ เมื่อขอมเสื่อมอำนาจลง และอยุธยาขึ้นมามีอำนาจแทน มรดกที่ได้พบในงานสถาปัตยกรรม เป็นปรางค์เรือนยอดที่ถอดแบบมาจากปราสาทเขมร จำลองแนวคิดจักรวาลวิทยามาในงานสถาปัตยกรรมอย่างไทย เวลาท่านเดินทางไปชม "มรดกโลก" ในนามที่พระนครศรีอยุธยา จะพบหมู่ปรางค์ที่โดดนเด่นสวยงามเช่น ที่วัดไชยวัฒนาราม ที่ช่างไทยถอดแบบมา แล้ว "ผสมผสานเปลี่ยนแปลง" ให้เป็นสถาปัตยกรรมอย่างไทยที่สูงโปร่งขึ้น และกลายเป็น "เอกลักษณ์ไทย"
  • "ประติมากรรม" อย่างไทย ที่เมื่อศาสนาพุทธเดินทางผ่านกาลเวลา ความรุ่งเรืองความร่ำรวยความตกต่ำทางเศรษฐกิจ ศิลปะในรูปแบบงานสถาปัตยกรรมก็เปลี่ยนแปลงเช่นกัน คัมภีร์มหาปุริสสลักษณะ 32 ประการ และความงามพุทธศิลป์จากอินเดียนสกุลช่างต่าง ๆ ถูก "ผสมผสานเปลี่ยนแปลง" และปรับเข้ากับความงานในลักษณะ "พื้นถิ่น" ด้วยการตีความในเส้นสายไทย จนเป็น พระพุทธรูปที่เป็น "เอกลักษณ์อย่างไทย"  ตั้งแต่ สกุลช่างสมัยอยุธยาเป็นต้นมา 
  • "ภาษา" อย่างไทย ที่แปลง "เทวนาครี" เป็นอักษรไทย รับเอาวัฒนธรรมด้านภาษา จากทั้ง จีน ขอม บาลี สันสกฤต รวมไปถึงคำฝรั่ง เข้ามาด้วย เราจึงเป็นภษาที่มีเอกลักษณ์ ในการผันเสียงแบบจีน มีฐานเสียงแบบบาลี สันสกฤต มีความหมายมากมาย จนเป็นภาษาที่ "ร่ำรวยสวยงาม" เป็นเพียงภาษาเดียวในโลกที่ คำหนนึ่งคำมีทั้งสระบน สระล่าง เป็นภาษาเฉพาะชนชั้น และนี่ก็เป็น "เอกลักษณ์" ที่เกิดจากการ "ผสมผสานเปลี่ยนแปลง"
  • "ความอร่อย" อย่างไทย ที่เริ่มมีบันทึกทางประวัติศาสตร์จากสมัยกลางอยุธยาจนถึง ดังที่ทราบเรื่อง มารีอา กูโยมาร์ เด ปิญญา (Maria Guyomar de Pinha) แต่มักเป็นที่รู้จักในชื่อ มารี กีมาร์ (Marie Guimar) หรือ เมื่อคนไทยเรียกอะไรไม่ได้ ก็ปรับให้เป็นไทยเสีย จึงเป็น "ท้าวทองกีบม้า" ที่เอาขนมโปรตุเกส ที่ใช้ แป้ง ไข่แดง น้ำตาล เข้ามา และแม่ครัวไทย ก็ปรับให้ใส่มะพร้าว ถั่ว ซึ่งเป็นของพื้นถิ่น รวมกับ ความหลากหลายด้านรสหวาน จากตาลโตนด ตาลมะพร้าว ตาลอ้อย กะทิ ฯลฯ จนถูกเรียกว่า "ขนมไทย" ยังไม่รวม "มัสมั่นแกงแก้วตา" "ข้าวหุงปรุงอย่างเทศ" "หมี่กรอบ" ฯลฯ ซึ่งท่านจะพบว่าเราใส่ "ภูมิปัญญาพื้นถิ่น" "ผสมหสานเปลี่ยนแปลง" จนเป็นอาหารที่มี "เอกลักษณ์" อย่างไทย
  • "ความศรัทธา" อย่างไทย เช่น ในพระพุทธศาสนาที่ไทยเรียน "ลังกาวงศ์" แต่ที่ลังกา เรียกของเราว่า "สยามวงศ์" หรือ ในความเชื่อปัจจุบันในวัดไทยที่เป็นเถรวาท จะพบความศรัทธาที่หลากหลาย ทั้งมหายาน ฮินดู ปะปนผสมกัน เราเชื่อเรื่องบุญที่เกิดจากการ "ทุ่มเงิน" มากกว่า "การปฏิบัติ" สิ่งเหล่านี้จะดีหรือไม่ดี นั้น ก็ถือเป็นการ "ผสมผสานเปลี่ยนแปลง"
  • "ไพเราะ" อย่างไทย เรามีท่วงทำนองที่เป็นของไทยแท้ แต่ต้องตั้งชื่อเป็นทำนองจากต่างถิ่น เช่น เพลงไทยเดิมทั้งหลายที่ชื่อขึ้นต้นว่า "ลาว" ใช่ครับ ลาวดวงเดือน ลาวดำเนินดง ฯลฯ แต่สิ่งนี้มีความแปลกแตกต่าง เพราะว่า บางเรื่องเราก็เป็น Original หรือ "ต้นตำรับ" ทว่า น่าเสียดายที่เรานิยม "ของนอก" ไปจนเราต้องละทิ้งความเป็นต้นฉบับของเราไปซะ ท่านจะไม่พบชื่อเพลงไทยเดิมที่ใช้ชื่อว่าไทย  สยาม ฯลฯ (หรือพบได้ยากมาก)

         เหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น ที่ทำให้ท่านเห็นว่า ทุกเรื่องที่เราใช้ชีวิตเกี่ยวข้อง เรารู้รับทราบความเป็น "ไทย" นั้น แล้วเรายึดมั่นถือมั่น หรือบางพวกเกลียดการเป็นตัวเอง นั้น ล้วนแล้วแต่ "ผสมผสานเปลี่ยนแปลง" รับเอาสิ่งที่เหมาะสมมาปรับให้เป็น "อย่างไทย" เรื่องแบบนี้มีมานานเกือบ 700 ปี เรามีเรื่องการเปลี่ยนแปลงที่เราต้องเรียนรู้จากประวัติศาสตร์มากมาย ทว่า ทำไม ปัจจุบันนี้เราจะเปลี่ยนแปลงอะไร เราลืม "การผสมผสานเปลี่ยนแปลง" และกรุณาอย่าตีความและนิยามคำว่า "อย่างไทย" ในแง่ร้าย เพราะว่า "อย่างไทย" นั้นไม่เคยรับมาทั้งดุ้น เราเปลี่ยนแปลง ดัดแปลง จนเข้ากับ "ตัวเรา" มาแต่อดีต แต่ด้วยความที่ไม่เข้าใจ และเห็นการเปลี่ยนแปลงเป็นของเล่น เมื่อระยะเวลา และตัวเร่งทางสังคม มันทำให้การเปลี่ยนแปลงต้องรวดเร็วขึ้น และ "คนไทย" ที่กลัวการเปลี่ยนแปลง แต่อยากเปลี่ยนแปลง และไม่ใคราจะลงมือลงแรงช่วยกัน จะใช้คำว่า  "Thailand Only" ซึ่งหลังจากนี้ผมพยายามโน้มนำให้เชื่อว่า "Only Thailand" ต่างหาก ที่เราควรทำความเข้าใจ Only Thailand Way ที่เข้าใจการเปลี่ยนแปลง และจะเปลี่ยนแปลงในประเทศไทย
          ผมต้องการจะบอกว่า "อย่างไทย" เป็นการเข้าใจตัวเอง ก่อนที่จะเริ่มบริบทของการเปลี่ยนแปลง ปัญหาในเมืองไทยนั้นเปรียบเสมือนคุณโยนก้อนไหมพรมให้แมวไปฟัดเล่น แล้วพอคุณจะใช้ไหมพรมนั้น คุณจะพบว่า มันพันกันยุ่งเหยิง และท้ายสุด เราก็จะไม่แก้ไขในบริบทเดิม แล้วนิยามมันอย่งาไร้ความรับผิดชอบว่า Thailand Only 


Picture
8 Steps Process of Change Management เป็นผลงานเขียนของ John Kotter ในหนังสือเรื่อง Leading Change (1966) และเป็นหนังสือที่ได้รับการยกย่องว่า ทรงอานุภาพในการทางธุรกิจ จาก Time Magazine ในปี 2011 https://en.wikipedia.org/wiki/John_Kotter สิ่งนี้ยกเป็นตัวอย่างวิธีการเปลี่ยนแปลงที่ฝรั่งคิดฝรั่งใช้ ซึ่งเป็นแบบแผนที่ดี ส่วนแนวคิดของ Kotler นั้น ใช้ได้ในสังคมไทย และการเปลี่ยนแปลงอย่างไทยหรือไม่นั้น แน่นอน คงจะต้อง "ผสมผสานเปลี่ยนแปลง" ด้วยกลวิธีแบบไทย ใแต่ละองค์กร สังคม กลุ่มความสนใจที่แตกต่างกันไป
Universal Rule of changing สำหรับจัดการ "อย่างไทย"
  • การเปลี่ยนแปลงนั้น ต้องเริ่มจาก "แนวคิดใหม่" "ทำวิธีใหม่" "วิธีวัดผลแบบใหม่" "วิธีให้คุณค่าและคำชื่นชนแบบใหม่" ที่สอดคล้องกัน  ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่เกิดขึ้นได้จากวิธีเดิม (เราจะไป ๔.๐ ไม่ได้แน่นอน ถ้าเราทำวิธีเดิม)
  • คนส่วนมาก "กลัว" และ "ไม่อยาก" เปลี่ยนแปลง เพราะว่าการเปลี่ยนแปลงส่วนมากในประสบการณ์ชีวิตของเขา และการบอกเล่าต่อ ๆ กันมา เป็นเรื่องที่กระทบ "ความสงบสุข" "ความคุ้นเคย" ที่ทำกันเป็นประจำ  และ ไม่รู้สึกว่า "จะต้องเปลี่ยนแปลง" คนที่จะลุกขึ้นมาเป็นเจ้าภาพในการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ต้องเข้าใจว่า สิ่งนี้คือสาเหตุของความล้มเหลวในการเปลี่ยนแปลง ​ การเปลี่ยนแปลงองค์กร หรือเรื่องใด ๆ ที่มี "คน" เป็นส่วนประกอบสำคัญ ซึ่งบางครั้ง การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในประเทศไทย คิดว่า จะเอา "ระบบ" มาครอบ "คน" ซึ่งความอ่อนแออในวิธีการแบบนี้เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมา ท้ายที่สุดถ้า "คน" ไม่เปลี่ยนวิธี หรืออย่างน้อย "ปรับทัศนคติ" ให้เห็นว่าต้องเปลี่ยนแปลง สิ่งนี้จะไม่เกิด ในสังคมไทยเรามีความกลัวในการเปลี่ยนแปลงหลายมิติที่เกิดจากคนและสิ่งแวดล้อมตัวเขา เช่น 
    • ​กลัวงานที่มากขึ้น กลัวทำงานไม่เหมือนเดิม
    • กลัวที่จะต้องเปลี่ยนแปลงจากความคุ้นเคย ไปเรียนรู้สิ่งใหม่ 
    • กลัวผลตอบแทนที่เท่าเดิมจากงานที่เพิ่มขึ้น 
        "ความน่ากลัว" ที่คนไทยทั้งหมดร่วมกันเป็น "เจ้าของ" และ "ถือครอง" ไว้คือ  เราเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ "งาน" ของเรา "ข้อมูล" ของเรา "ความสำเร็จที่ให้เราอยู่รอดไปในแต่ละช่วง" และเฉพาะ "งานเรา" "แผนกเรา" "องค์กรเรา"
เรากลัวว่าถ้าเรา "แบ่งปัน" เราจะหมดหมัดเด็ดที่รัั่งเราไว้กับงานที่เลี้ยงตัวตนและครอบครัว กลายเป็นเราไร้คุณค่า สิ่งที่เราลืม และมันน่ากลัวที่สุดคือ "เราไม่เป็นเจ้าข้าวเข้าของความสำเร็จของประเทศและสังคมนี้ร่วมกัน" 
        จะเริ่มการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เริ่มที่ "คน" ซึ่งผมเห็นด้วยกับ Kottler ใน Stage 1: Create Condition for Change แต่ในเมืองไทยนั้น เมื่อเข้าสู่ Stage 2: Introduce new practice นี้จะต้องใส่ความเป็น "อย่างไทย" ลงไปให้มาก และต้องเพิ่มเติมคำว่า "์New benefits" ทั้งในระดับส่วนตัว ส่วนงาน ส่วนองค์กร และส่วนประเทศลงไป ส่วนในประเทศไทยนั้น Stage 3: Maintain the Momentum นั้น คงต้องเติมการ "ประชาสัมพันธ์ความสำเร็จบนค่านิยมไทย" ลงไปประกอบ และทำแบบนี้ในทุก "Quick Win"
  • การตีเหล็กเมื่อร้อน อย่าทิ้งระยะเวลาหากกระแสของการเปลี่ยนแปลงกำลังระอุ ผมเห็นว่าตอนนี้ถึงแม้นว่าพวกเราจะแทบไม่มีใครเชื่อว่า Thailand 4.0 จะทำได้จริง แต่อย่างน้อย ความรู้สึกอยากเปลี่ยนแปลงจากภาคสังคมเริ่มมีมากขึ้น เราแค่ไม่รู้ทิศทาง และห่วง KPI เดิมเยอะไปเสียหน่อย  ถ้าหมดช่วงความกระสันต์อยากเปลี่ยนแปลงนี้แล้ว อาจจะต้องรอฤดูกาลใหม่ บน "ชื่อใหม่" แบบที่ประเทศไทยนิยมเปลี่ยนชือ Theme เอา ตอนนี้ใครๆ  ก็พูดเรื่องการเปลี่ยนแปลงด้านการศึกษา อย่าเอาเวลาไปหาว่า "ใคร" หรือ "อะไร" เป็นแพะ ลืมเรื่องเก่าไปบ้าง แล้วเริ่มต้นที่ การเปลี่ยนแปลงสร้างได้ โดยตั้งจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน มีกลไกขับเคลื่อนที่ชัดเขน มีส่วนเกี่ยวข้องที่ชัดเจน มีรูปแบบที่มั่นคง และพร้อมให้ เกิด "อย่างใครอย่างมัน แต่อย่างไทย" ให้ไปปรับใช้ในบริบท และสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน ซึ่ง นี่เป็นหัวใจของการทำ Transformation ในหลักการของสากล และ Digital Transformation ก็เช่นกัน แต่ผนึกเอา "ดิจิตอล" มาร่วมผลักดันให้การเปลี่ยนถ่ายเร็วขึ้น วัดผลเป็นรูปธรรมมากขึ้น รู้ปัญหาเร็วขึ้น ก่อนที่ความรู้สึกในการเปลี่ยนแปลงจะหมดลงในองค์กร (และสังคม) ในเชิง Education Transformaion ก็เช่นกัน

         "อย่างไทย" นี้จึงบอกที่ถึงแรงบันดาลใจของผู้จัด ที่จะเป็นแนวร่วมในการเปลี่ยนแปลงอันยาก เหมือนก้อนไหมพรมที่พันกัน มันอาจจะอยาก แต่เรามีไหมพรมก้อนเดียว อย่างไรทุกคนก็ต้องร่วมด้วยช่วยแก้ 

ปรมินทร์ เยาว์ยืนยง
​11.5.2017

0 Comments

    คำเชิญชวนจาก             ผู้จัดกิจกรรม

    Panel Discussion นี้ถูกสร้างเป็น ฺฺฺBlog ที่เปิดโอกาสให้ได้มีการแลกเปลี่ยนทรรศนะ หากท่านมีข้อคิดเห็นและเสนอแนะสามารถที่จะเข้ามาแลกเปลี่ยนกันได้

    หมายเหตุ: ผู้จัดกิจกรรมและผู้เขียนบทความตั้งต้น ใช้ Approaching ทางสังคมศาสตร์ และประวัติศาสตร์มาเป็นหลักในการเชื่อมให้ Digital Transformation เข้ากับหลักทางสังคมศาสตร์ และการบริหารจัดการ และแน่นอน บทความนี้เป็น FYI; For your Information มิใช่บทความทางวิชาการที่ใช้อ้างอิงได้ ผู้เขียนเพียงต้องการเชื่อมโยง เพราะการทำ Transformation ใด ๆ ความสำเร็จมิใช่อยู่ที่เทคโนโลยี, วิธีการ, กฎเกณฑ์ และนโยนบาย หากแต่ยังต้องมีปัจจัยแวดล้อม ในกระบวนทัศน์เรื่องโครงสร้างสังคม, คน, จิตวิทยา รวมอยู่ด้วย 

    จึงเรียนมาเพื่อให้ท่านทราบถึงข้อจำกัดเหล่านี้

Picture
Picture
Picture

MonsoonSIM; The business simulation platform for learning and training
more to teach more to learn, easy to teach  easy to learn

MonsoonSIM Thailand by Zonix Services Co.,Ltd. is official reseller in Thailand